พ.ร.บ. อำนาจเรียกฯ มาชี้แจงในสภาฯ มีผลบังคับใช้แล้ว ใครไม่ให้ความร่วมมือมีโทษ

Last updated: 8 มิ.ย. 2568  |  1161 จำนวนผู้เข้าชม  | 

พ.ร.บ. อำนาจเรียกฯ มาชี้แจงในสภาฯ มีผลบังคับใช้แล้ว ใครไม่ให้ความร่วมมือมีโทษ

พระราชบัญญัติอำนาจเรียกของคณะกรรมาธิการของรัฐสภา พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้แล้ว เพิ่มพลังตรวจสอบฝ่ายนิติบัญญัติ

          เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระราชบัญญัติอำนาจเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความมีประสิทธิภาพ ความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในกระบวนการทางรัฐสภา รวมถึงสนับสนุนบทบาทของคณะกรรมาธิการในการทำหน้าที่แทนประชาชน

“…เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดไม่ส่งเอกสาร หรือไม่มาแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความเห็นตามที่คณะกรรมาธิการเรียกตามมาตรา 7 หรือมาตรา 8 โดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือจงใจส่งเอกสาร หรือให้ข้อเท็จจริงหรือแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อคณะกรรมาธิการซึ่งกระทำการตามหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ถือว่าไม่รักษาประโยชน์ของทางราชการและเป็นความผิดทางวินัย…”

สาระสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับนี้

  1. ให้อำนาจทางกฎหมายแก่คณะกรรมาธิการ ของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะกรรมาธิการร่วม ในการเรียกบุคคล หน่วยงาน หรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง มาชี้แจงข้อเท็จจริงหรือให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของกรรมาธิการ
  2. กำหนดบทลงโทษ สำหรับผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ หากไม่ปฏิบัติตามคำเรียกของกรรมาธิการโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร อาจเข้าข่ายผิดวินัย หรือจริยธรรมตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา 8 และมาตรา 14
  3. สร้างกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุล ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้คณะกรรมาธิการสามารถทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายบริหาร หรือองค์กรต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ในระบอบประชาธิปไตย

          มาตรา 11 ผู้ที่ให้ถ้อยคำ หรือส่งมอบวัตถุ เอกสาร หรือพยานหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องตามมาตรา 7 ต่อคณะกรรมาธิการ หรือผู้ที่จัดทำและเผยแพร่ หรือผู้รับรองความถูกต้องของบันทึกการประชุม รายงานการประชุม รายงานการดำเนินการ รายงานการสอบหาข้อเท็จจริง หรือรายงานการศึกษา ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือรัฐสภา แล้วแต่กรณี ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย เนื่องจากการที่ตนเปิดเผยข้อมูล หรือให้วัตถุ เอกสาร หรือพยานหลักฐาน หรือจัดทำและเผยแพร่ หรือรับรองความถูกต้องของบันทึกการประชุม รายงานการประชุม รายงานการดำเนินการ รายงานการสอบหาข้อเท็จจริง หรือรายงานการศึกษาโดยสุจริต แล้วแต่กรณี 

          มาตรา 14 เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดไม่ส่งเอกสาร หรือไม่มาแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความเห็นตามที่คณะกรรมาธิการเรียกตามมาตรา 7 หรือมาตรา 8 โดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือจงใจส่งเอกสาร หรือให้ข้อเท็จจริงหรือแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อคณะกรรมาธิการซึ่งกระทำการตามหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ถือว่าไม่รักษาประโยชน์ของทางราชการและเป็นความผิดทางวินัย
          
เมื่อมีกรณีตามวรรคหนึ่ง ให้ประธานคณะกรรมาธิการโดยความเห็นชอบของคณะกรรมาธิการมีหนังสือแจ้งไปยังผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนเพื่อดำเนินการทางวินัยตามหน้าที่และอำนาจต่อไป และแจ้งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภาแล้วแต่กรณีทราบด้วย
          การดำเนินการทางวินัยตามวรรคสอง ให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนรายงานผลการดำเนินการทางวินัยต่อคณะกรรมาธิการภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานคณะกรรมาธิการ และแจ้งผลการดำเนินการทางวินัยให้ประธานคณะกรรมาธิการทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีคำสั่ง
          ถ้าผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนไม่ดำเนินการทางวินัยหรือไม่ดำเนินการตามวรรคสาม ให้ถือว่าผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนจงใจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อกฎหมายหรือกระทำผิดวินัยตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคลที่ผู้นั้นสังกัดด้วย

          ทั้งนี้ การประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ นับเป็นการยกระดับกลไกตรวจสอบภายในรัฐสภาอย่างเป็นระบบ และเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างธรรมาภิบาล สนับสนุนให้รัฐสภาทำงานได้อย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือ เพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น

          เอกสารที่เกี่ยวข้อง : พระราชบัญญัติอำนาจเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. 2568

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้