รายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2560

Last updated: 12 ธ.ค. 2560  |  1831 จำนวนผู้เข้าชม  | 

รายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2560

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”
ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2560 เวลา 20.15 น.
------------------------------------------

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน

แม้ว่าปัจจุบัน สถานการณ์น้ำท่วม ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ส่วนใหญ่จะคลี่คลายลงไป ในทิศทางที่ “ดีขึ้น” แล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ยังทรงติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ด้วยทรงเป็นห่วงราษฎรผู้ประสบภัย โดยมีพระกระแสรับสั่งให้รัฐบาล ดูแลพี่น้องประชาชนให้มีความสุข มีความพึงพอใจ และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุขให้ได้โดยเร็ว ทรงโปรดให้หน่วยงานในพระองค์ และองคมนตรีลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือและตรวจเยี่ยมการช่วยเหลือของราชการกับประชาชน ได้หารือการทำงานร่วมกับรัฐบาลอีกด้วย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ที่มีต่อพี่น้องผู้ประสบภัย อย่างหาที่สุดไม่ได้ นอกจากนี้ ทรงกำชับให้รัฐบาล ดำเนินการอย่างเป็นระบบ มีแบบแผน และมีแผนงานที่ชัดเจน เพื่อขจัดความซ้ำซ้อนในการให้ความช่วยเหลือ รวมทั้ง เตรียม “แผนเผชิญเหตุ” ในทุกพื้นที่ สำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด และอาจเกิดซ้ำขึ้นอีก
ทั้งนี้ รัฐบาลโดยคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้รับแนวทางพระราชทานดังกล่าว ใส่เกล้าใส่กระหม่อม นำไปดำเนินการ นับตั้งแต่เกิดวิกฤตอุทกภัยในช่วงแรก ช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา จนถึงในปัจจุบัน โดยได้ดำเนินการ ตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2558 ซึ่งรัฐบาลนี้จัดทำขึ้น สำหรับตอบสนองต่อ “ทุกสาธารณภัย” ของไทย ตาม “ปฏิทินสาธารณภัย” ในรอบปี ทั้งอุทกภัย ภัยแล้ง ภัยจากดินโคลนถล่ม วาตภัย อัคคีภัย ภัยจากไฟป่า และหมอกควัน แผ่นดินไหวและสึนามิ ภัยจากการคมนาคมและโรคระบาดอีกด้วย เพื่อให้การบริหารจัดการสาธารณภัย เป็นแบบ “ก้าวหน้า เชิงรุก” กว่าที่เคยเป็นผ่านมา และเป็นไปตามหลักสากล คือ “รู้รับ ปรับตัว ฟื้นเร็วทั่วอย่างยั่งยืน”

สำหรับ “อุทกภัย” ภาคใต้ในครั้งนี้ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ “รุนแรง” กว่าปกติอย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้บูรณาการ ทั้งหน่วยงานและงบประมาณให้มีการบริหารจัดการที่ประสานสอดคล้องกัน ตั้งแต่ระดับนโยบายลงไปจนถึงระดับปฏิบัติ ในพื้นที่ช่วยให้การระดมสรรพกำลังและทรัพยากร รวมทั้งเงินและสิ่งของบริจาค ได้มีการบริหารจัดการอย่างมีระบบ มีทิศทางที่ชัดเจน ที่มุ่งไปสู่ “กลุ่มเป้าหมาย” ทุกประเภท ตามความเร่งด่วนความสำคัญ เช่น “ในเบื้องต้น” ประชาชนต้องปลอดภัย การติดต่อสื่อสารต้องไม่ถูกตัดขาด อาหาร น้ำดื่มต้องไม่ขาดแคลน เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และสิ่งของที่จำเป็นต้องได้รับการแจกจ่ายอย่างทั่วถึง จากนั้น “ลำดับต่อมา” เมื่อประชาชนเริ่มช่วยตัวเองได้ ต้องสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ประกอบอาชีพ ทำมาหากินได้ ในเวลาต่อมา โดยโครงสร้างพื้นฐาน ทุกระบบ ต้องได้รับการบูรณะ ให้สามารถใช้การได้ ทั้งถนนหนทาง สะพาน รถไฟ สนามบิน ไฟฟ้า ประปา การสื่อสาร เป็นต้น ทั้งนี้ เป็นการดำเนินการในระยะสั้น “เร่งด่วน” ทั้งสิ้น นอกจากหน่วยงานราชการและเอกชน จะมีบทบาทในการทำงานร่วมกัน ตามแนวทาง “ประชารัฐ” แล้ว ผมขอขอบคุณ คณะครู นักเรียนอาชีวะ และนักเรียนการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) จากทั่วประเทศ ที่ได้รวมตัวกันทำความดี จัดเป็นทีม ทีมละ 15 คน รวมทั้งสิ้นกว่า 1 หมื่นคน ในการช่วยเหลือ ฟื้นฟู ให้กับพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัย ในการซ่อมรถยนต์ กว่า 900 คัน ซ่อมรถจักรยานยนต์ เกือบ 38,000 คัน ซ่อมเครื่องจักรกล ราว 4,700 เครื่อง ซ่อมบ้านเรือน 1,400 กว่าครัวเรือน และซ่อมเครื่องไฟฟ้า เกือบ 5 หมื่นรายการ เป็นต้น ซึ่งคงจะต้องทำต่อไป

เมื่อวานนี้ ผมได้เดินทางไปที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งห้วงที่ผ่านมา ทุกหน่วยงานได้ลงพื้นที่และร่วมกันแก้ไขปัญหา รวมทั้งช่วยเหลือประชาชน อย่างต่อเนื่องการไปปฏิบัติการลงพื้นที่ประสบภัยลงไปของผมและคณะในครั้งนี้ เพื่อไปให้กำลังใจพี่น้องประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐ ที่มาบริการ ช่วยเหลือ เยียวยา ประชาชน รวมถึงพี่น้องประชาชนอื่น ๆ และจิตอาสา ที่มาช่วยเหลือพี่น้องชาวใต้ ที่สำคัญคือ ได้ติดตามการทำงานของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ส่วนหน้า) ว่ามีปัญหา ข้อขัดข้องอย่างไร และเน้นย้ำให้เตรียมการฟื้นฟูให้เป็นระบบ แบบบูรณาการแม้ว่าปัจจุบันนั้น สถานการณ์จะดีขึ้น น้ำลดลงตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ส่วนหน้า) จะยังคงทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะบรรลุภารกิจในการปฏิบัติทุกข์ บำรุงสุขให้กับพี่น้องประสบภัยนำความสุขและชีวิตที่เป็นปกติสุขกลับคืนมาให้ได้โดยเร็ว ผมได้กำชับกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ส่วนหน้า) และเจ้าหน้าที่ว่า ต้องมีความพร้อมอยู่เสมอ หากจะเกิดมีอุทกภัยเกิดขึ้นอีก ช่วงนี้งานที่สำคัญ คือ การฟื้นฟู ทั้งบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย พื้นที่การเกษตร อุตสาหกรรมให้ได้โดยเร็ว เพื่อจะสร้างความยั่งยืน ในระยะต่อไป

การดำเนินการในขั้นต่อไป ในระยะยาวและยั่งยืนนั้น รัฐบาลได้น้อมนำแนวทางการแก้ปัญหาทั้งหมด ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชทานไว้ มาเป็นแนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน โดยพิจารณาข้อมูลพื้นฐาน ข้อเท็จจริงที่เป็นปัจจุบัน การพยากรณ์อากาศ การอ่านแผนที่ ภาพถ่ายดาวเทียม และภูมิศาสตร์ จากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการปรับปรุงแก้ไขปัญหาเดิมให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยขึ้นอีก โดยใช้วิกฤตนี้เป็นโอกาสในการปรับ “ผังเมือง ผังน้ำ ผังการคมนาคม” ไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อกัน และไม่ฝืนธรรมชาติ การดูแลป่าพลุ พื้นที่ซับน้ำ แก้มลิง Flood way ทะเลสาบ คลองบายพาส ธรรมชาติและสร้างขึ้นใหม่ ประตูเปิด ปิดน้ำ ให้สอดคล้องกับน้ำทะเลหนุน ทุกอย่างต้องเป็นไปตามหลักวิชาการของหน่วยงาน และหลักตามธรรมชาติที่ปราชญ์ชาวบ้าน มีความคุ้นเคยกับพื้นที่เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามหากการแก้ปัญหา “น้ำท่วม” ได้ เราจะต้องไม่สร้างปัญหาเรื่องภัยแล้ง น้ำแล้งต่อไปด้วย ทั้งนี้ “ศาสตร์พระราชา” สอนให้เราอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างปกติสุข ซึ่งเราต้องดูแล ตั้งแต่ป่าบนภูเขา เป็นทั้งป่าต้นน้ำ รักษาสมดุลระบบนิเวศ และช่วยป้องกันน้ำป่า ไฟป่า ลงมาตามเส้นทางน้ำ แม่น้ำ แหล่งน้ำ แล้วไปสู่ทะเล หากเรามีวินัย “เดินตามรอยพระบาท” อย่างเคร่งครัด ตั้งแต่ “ต้นทางน้ำ กลางทาง ปลายทางน้ำ คือ มหาสมุทร” เราก็จะห่างไกลจาก “น้ำท่วม น้ำแล้ง” ได้อย่างยั่งยืน

พี่น้องประชาชนครับ

สิ่งหนึ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ อาจยังไม่เข้าใจ ไม่ได้ติดตาม หรือไม่ตระหนักถึงความสำคัญ แต่รัฐบาลนี้ ได้เร่งรัดให้ดำเนินการมาโดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็คือ เรื่องผังเมือง ถ้านำอุทาหรณ์จากน้ำท่วมภาคใต้ครั้งที่แล้วมาพิจารณาถึงความไม่สอดคล้องกันแล้ว จะเห็นว่า “ธรรมชาติ กับ สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น” หรือ “ผังน้ำ กับ ผังเมือง” นั้น เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดวิกฤตมากกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อการถือครองที่ดิน การใช้ประโยชน์ทางการเกษตร อุตสาหกรรม รวมทั้งการขยายตัวของชุมชน “แบบไร้การควบคุม” ไม่เป็นระเบียบ ไม่เป็นไปตามแบบแผน หลักวิชาการผังเมือง ที่สำคัญคือ “ผิดกฎหมาย” และสิ่งก่อสร้าง เส้นทางคมนาคม ทั้งทางถนน ทางราง ที่กีดขวางเส้นทางไหลของน้ำ จากแนวเขา ลงสู่ทะเล ซึ่งเป็นภูมิศาสตร์ ที่ไม่อาจแก้ไขได้ แต่เป็นหน้าที่ของเรา ที่ต้องวางแผน วางผังเมือง ผังชุมชนให้สอดคล้อง เหมาะสม 10 กว่าปีก่อนที่รัฐบาลนี้จะเข้ามาบริหารประเทศ มีการประกาศใช้ “ผังเมืองรวม” เฉลี่ยแล้วเพียง 12 ผังต่อปี ทำให้เรามีผังเมืองรวมของจังหวัด เพียง 19 จังหวัด “ทั่วประเทศ” แต่ 2 ปีกว่าของรัฐบาลนี้ มีการประกาศใช้ “ผังเมืองรวม” เฉลี่ย 39 ผังต่อปี ทำให้ปัจจุบัน 49 จังหวัด มีการประกาศใช้ผังเมืองรวมแล้ว และจะดำเนินการให้ “ครบถ้วน” ภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้ สิ่งนี้ ไม่ใช่เพียงแสดงถึงประสิทธิภาพในการทำงานเท่านั้น หากแต่เป็นการทำงานอย่างมีวิสัยทัศน์ และมียุทธศาสตร์ เนื่องจากผังเมืองนั้น ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อ “ผังน้ำ” ตามที่ผมได้กล่าวไว้แล้ว แต่มีความเชื่อมโยงกับการ “โซนนิ่ง” หรือการใช้พื้นที่ของชุมชนเมือง ประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น พื้นที่ราชการ พื้นที่การศึกษา พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ พื้นที่เกษตรกรรม อุตสาหกรรม พื้นที่ป่า ชลประทาน พื้นที่กำจัดขยะ พื้นที่ผลิตไฟฟ้า ที่มีปริมาณ “มากขึ้นทุกปี” เป็นต้น พื้นที่ต่าง ๆ เหล่านี้ ต้องไม่รบกวน และไม่สร้างปัญหา ซึ่งกันและกัน ซึ่งเรามองในภาพรวมก็จะมีพื้นที่การค้า การลงทุน เมืองท่า เมืองชายแดน เมืองท่องเที่ยว กลุ่มจังหวัด เขตพัฒนาเศรษฐกิจ (ทั้ง 10 แห่ง) ทั้งหมดนี้ ต้องเชื่อมโยงกัน

ในเรื่องของการเดินทางของแรงงาน การขนส่งสินค้า การเคลื่อนย้ายประชาชน การสัญจรของนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ทั้งหมดนี้ เป็น “โจทย์” ของเรา ที่เกี่ยวข้องกับผังเมืองรวมของทั้งประเทศ ที่ส่งผลกระทบทั้งมิติสังคม เศรษฐกิจ ความมั่นคงและสิ่งแวดล้อม “โดยรวม” เกี่ยวข้องกับการวางแผนระบบโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการคมนาคมของประเทศ ทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ เกี่ยวข้องกับการกระจายความเจริญ จากเขตเมืองสู่ท้องถิ่น เกี่ยวข้องกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน ที่ผมอยากให้ทุกคนได้เข้าใจ ตระหนัก และร่วมมือกับรัฐบาล ในการเดินหน้าประเทศ ในการแก้ไขสิ่งที่ผิด ให้ถูกต้องเสียตั้งแต่วันนี้

อีกหลายเรื่องที่รัฐบาลและ คสช. ต้องการวางรากฐานการพัฒนาประเทศ ซึ่งการปฏิรูปต่าง ๆ ตามยุทธศาสตร์ชาตินั้น จำเป็นต้องการความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน รวมทั้ง ความปรองดองของทุก ๆ ฝ่าย อย่างไรก็ตาม เรื่อง “ปากท้อง” ยังเป็นสิ่งแรก ๆ ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวหน้า มุ่งสู่การเป็น “ไทยแลนด์ 4.0” โดย 2 ปีกว่าที่ผ่านมา รัฐบาลผลักดัน 4 ยุทธศาสตร์สำคัญ เกี่ยวกับการดูแลค่าครองชีพ การบริหารจัดการสินค้าเกษตร การสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการ และการส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ โดยผลการดำเนินงานที่สำคัญ อาทิเช่น
(1) การพัฒนาโชห่วย ทั่วประเทศ ภายใต้โครงการ “ฉลาดซื้อ ประหยัดใช้” ช่วยลดค่าครองชีพให้ประชาชนได้ 35,500 ล้านบาท
(2) โครงการ “ประชารัฐร่วมใจ” จัดหาปัจจัยการผลิต ชะลอการขายข้าว และนำผู้ซื้อ ผู้นำเข้า จาก 29 ประเทศทั่วโลก มาเจรจาซื้อขายข้าว มันสำปะหลัง สามารถดึงราคาข้าวจาก 8,500 เป็น 12,000 บาทต่อตัน และทวงคืนแชมป์ ส่งออกข้าวในต่างประเทศ ได้รางวัล “ข้าวดีเด่น” ของโลก จากงาน World Rice Conference 2016 รวมทั้ง บริหารจัดการพืชเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่ มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมันยางพารา และผลไม้ ทำให้เกิดยอดขาย กว่า 90,000 ล้านบาท
(3) การสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการ โดยผลักดันกฎหมายสำคัญ 10 ฉบับ เช่น กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ พระราชบัญญัติความลับทางการค้า พระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พระราชบัญญัติ ลิขสิทธ์ พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด และพระราชบัญญัติจัดตั้งนิติบุคคลคนเดียว เป็นต้น เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า และสนับสนุน SME นอกจากนี้ ให้ความสำคัญกับ “ตลาดออนไลน์” เพื่อช่วยผู้ประกอบการและเกษตรกร ให้มีช่องทางขายสินค้าเพิ่มเติม เช่น เว็บไซต์ THAITRADE และโครงการ Smart Online SME ซึ่งได้รับรางวัล WSIS Prize 2016 จากองค์การสหประชาชาติ ด้านการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการค้าออนไลน์ “ดีที่สุดในโลก”

และ (4) การผลักดันการค้า การลงทุนระหว่างประเทศ เน้นการสร้าง “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ควบคู่กับการทำ FTA การสร้างมูลค่าส่งออก ปีละกว่า 7.5 ล้านล้านบาท ขยายตัวเป็นอันดับที่ 11 ของโลก
สำหรับนวัตกรรมใหม่ ด้านการเงิน ที่รัฐบาลส่งเสริมและเปิดให้บริการ อย่างเป็นทางการในวันนี้คือ “Prompt Pay” ภายใต้คำขวัญ “การเงินยุคใหม่ คนไทยยุคดิจิทัล” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “ไทยแลนด์ 4.0” โดยเป็นบริการ “ทางเลือก” ใหม่ ในการโอนเงิน ที่เสียค่าธรรมเนียม “ถูกลงมาก” เช่น โอนเงินไม่เกิน 5,000 บาท “ฟรี” ไม่มีค่าธรรมเนียม ทั้งนี้ การลดธุรกรรมต่าง ๆ ด้วย “เงินสด” ลงไป 30% จากปัจจุบัน จะช่วยให้ประเทศสามารถลด “ต้นทุนการจัดการเงินสด” ในอีก 10 ปีข้างหน้า ได้ราว 2 หมื่นล้านบาท ต่อปี

ผมถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญของเรา ในยุคดิจิทัลที่ใช้เวลาเพียงปีเศษ ๆ เท่านั้น ก็พัฒนาระบบได้เสร็จ เร็วกว่าหลาย ๆ ประเทศ ที่ต้องการจะมีบริการแบบนี้ แต่ใช้เวลา 3 – 5 ปี ถือเป็นการร่วมแรงร่วมใจกันของหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ
ทั้งนี้ การโอนเงินก็ทำได้ “ไม่ยาก สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย” (ตามมาตรฐานสากล ISO 27001 และตรวจสอบโดยธนาคารแห่งประเทศไทย) โอนได้ทั้งที่ตู้ ATM หรือ mobile banking และ internet banking ใช้เพียงเลขประจำตัวประชาชน (13 หลัก) หรือหมายเลขโทรศัพท์มือถือ (ตามความพอใจ) ไม่ต้องใช้เลขที่บัญชีเงินฝาก อย่างเดิม ในอนาคตการจับจ่ายซื้อของ หรือโอนเงินให้กันจะทำได้สะดวก รวดเร็ว และประหยัด เหมาะกับ “ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล” ซึ่งภาครัฐได้นำร่องการใช้พร้อมเพย์ไปแล้ว เช่น การโอนเงินสวัสดิการของรัฐ สำหรับช่วยเหลือการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด และโครงการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย ที่เปิดให้ลงทะเบียนไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา และจะเปิดให้ลงทะเบียนอีกครั้ง ในเร็ว ๆ นี้ ก็ขอให้พี่น้องประชาชนติดตามข่าวสารของทางราชการ อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องนะครับ

พี่น้องประชาชนที่รักครับ

หลายทศวรรษที่ผ่าน ๆ มานั้น เราให้ความสำคัญในการหารายได้เข้าประเทศ โดยเน้นหนักไปที่ “การส่งออก” โดยให้ความสำคัญกับ “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและภาคบริการ” น้อยเกินไป ทั้ง ๆ ที่มีการลงทุนที่น้อยกว่า ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เดิม ประกอบกับการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ และการส่งเสริมที่ครบวงจร ก็จะทำให้ประเทศไทยเรามีเงินทุนหมุนเวียนในระบบ ค้ำจุนเศรษฐกิจไทย ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ ปี 2559 ภาคการท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ เป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2.5 ล้านล้านบาท เป็นตลาดต่างประเทศ 1.64 ล้านล้านบาท และตลาดในประเทศ 0.87 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 18 ของ GDP ก่อให้เกิดการจ้างงาน ประมาณ 12.5 ล้านคน “เพิ่มขึ้น” ร้อยละ 11 จากปี 2558 โดยตั้งแต่ปี 2556 – 2558 รายได้จากการท่องเที่ยว มีปริมาณสูง อย่างต่อเนื่อง สำหรับปี 2560 คาดว่า เป้าหมายรายได้ จากการท่องเที่ยวที่ตั้งไว้ “เติบโต” ร้อยละ 10 จะก่อให้เกิดรายได้ประมาณ 2.7 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ ร้อยละ 18.6 ของ GDPและคาดว่าจะก่อให้เกิดการจ้างงานประมาณ 13.75 ล้านคน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 จากปี 2559

วันนี้ ผมอยากเชิญชวนพวกเราทุกคน ร่วม “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย ประจำปี 2560” ครั้งที่ 37 ระหว่างวันที่ 25 - 29 มกราคม 2560 เวลา 14.00 - 22.00 น. ณ สวนลุมพินี ซึ่งนอกจากจะนำเสนอรูปแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย และรวบรวมของดี ของเด่น จากทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทยแล้วยังช่วยปลุกกระแส “ท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋ สไตล์ลึกซึ้ง” เพื่อหนุนตลาดการท่องเที่ยวของเรา ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

กิจกรรมดี ๆ ที่ผมอยากแนะนำและส่งเสริมให้ดำเนินการ “ทั่วประเทศ” ได้แก่ กิจกรรมแต่งไทยได้โชค โครงการหลวงประชารัฐสุขใจ เขตทหารท่องเที่ยวได้และโครงการ 1672 เบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย สำหรับการรณรงค์ที่สำคัญ ได้แก่ การใช้บรรจุภัณฑ์สำหรับบรรจุอาหารที่สะอาด ปลอดภัย ผลิตจากกระดาษ สามารถย่อยสลายได้ 100% การรับซื้อน้ำมันพืช “ที่ใช้งานแล้ว” จากผู้ออกร้านจำหน่ายอาหารในงาน โดยคาดว่าจะมีปริมาณการใช้น้ำมันพืช 1,500 ลิตร ต่อวัน เพื่อนำไปผลิตเป็นพลังงานไบโอดีเซล นำกลับมาใช้งานต่อไปโครงการ “ขยะให้โชค”มุ่งสร้างวัฒนธรรมรับผิดชอบต่อสังคม และรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อลดปริมาณขยะจากต้นทาง สร้างระบบการจัดการขยะใส่ใจสิ่งแวดล้อม การแยกที่ทิ้งขยะเป็น 3 ส่วน คือ เศษอาหารและขยะทั่วไป ขวดแก้วและกระป๋อง พลาสติกและโซนพิเศษ “รวมน้ำใจมอบให้ชาวใต้” พร้อมกิจกรรมประมูลสินค้า 5 ภูมิภาค เพื่อนำรายได้ “ทั้งหมด” มอบให้แก่พี่น้องชาวใต้ ผู้ประสบอุทกภัยนะครับ

สิ่งที่รัฐบาล “เดินหน้า” ขยายศักยภาพด้านการท่องเที่ยว อีกอย่างน้อย 2 ประการ ก็คือ (1) การมุ่งเน้นนโยบายกระจายการท่องเที่ยวสู่ “เมืองรอง” โดยการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว และกิจกรรม จากเมืองสู่เมือง จากชุมชนสู่ชุมชน และ (2) การจัดทำฐานข้อมูลการท่องเที่ยว ทั้งข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวที่พัก การเดินทาง ค่าใช้จ่าย โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล สารสนเทศ สื่อออนไลน์ ที่เข้าถึงง่ายและสะดวก ในการสืบค้นข้อมูล และมีความแม่นยำ สำหรับให้บริการนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และคนไทยด้วยกันเอง ที่สำคัญก็คือ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การไม่เอาเปรียบนักท่องเที่ยว ความประทับใจจากรอยยิ้ม ความมีน้ำใจ บริการดี มีความสะอาด สิ่งเหล่านี้จะช่วย “ผูกมัดใจ” ให้หวนกลับมาเยือนบ้านเมืองเราครั้งแล้วครั้งเล่านะครับ อีกกรณีก็คือ การที่เราจะปฏิรูปประเทศเพื่อนำพาประเทศชาติไปสู่ความเข้มแข็ง มีขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับรายได้เศรษฐกิจระดับฐานราก ให้เกิดความมั่นคงในทุกมิติ เช่น การก่อสร้างระบบการขนส่ง ถนน ทางรถไฟ สาธารณูปโภคพื้นฐาน พลังงาน การแก้ปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้งอย่างยั่งยืน จำเป็นจะต้องมีการจัดทำโครงการงบประมาณ และมีการจัดทำประชาพิจารณ์ ผ่านการพิจารณาคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ซึ่งรัฐบาลและ คสช. ไม่ได้ยกเว้นเรื่องเหล่านี้นะครับ หลายโครงการมีปัญหาจากประชาชนคงไม่เข้าใจข้อเท็จจริง ผลดี ผลเสีย ซึ่งจะต้องพิจารณาความเป็นไปได้ว่าอะไรคือผลดี มากกว่าผลเสียหลายอย่างถูกบิดเบือนข้อมูลจากกลุ่ม NGO ที่ไม่หวังดี นอกพื้นที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ ทำให้การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนไม่เกิดขึ้น ไม่ตรงตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ จนเกิดความเสียหายซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุทกภัย ภัยแล้ง การพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้เศรษฐกิจฐานราก มีโอกาส มีพื้นที่มากขึ้น ในการหาอาชีพรายได้ อยากให้ประชาชนสังคม ช่วยกันคิดพิจารณาให้ถ่องแท้ นะครับ รัฐบาลและ คสช. นั้น ไม่ได้มุ่งหวังให้เกิดการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อหวังผลประโยชน์ใด ๆ มุ่งแต่เพียงให้ประชาชน ได้มีการยกระดับ มีการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นโดยเร็ว แต่ทั้งนี้ รัฐบาลได้พิจารณาถึงการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลไปพร้อม ๆ กัน

เรื่องการทำงานของคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ขอให้มีโอกาส ได้เริ่มมีการทำงานก่อนอย่าเพิ่งแสดงความคิดเห็น ในเวลานี้ไม่ว่าจากกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง ก็ตามซึ่งยังไม่ตรงกัน ให้ไปแสดงความคิดเห็น ต่อคณะกรรมการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คณะกรรมการปรองดองหากยังเป็นแบบนี้ ก็แน่นอนว่า ไม่สำเร็จตั้งแต่เริ่มต้นขอให้ช่วยกัน ทำให้ถูกต้อง คณะกรรมการปรองดองมี "คณะใหญ่" และ "คณะอนุกรรมการ" แต่ละฝ่าย เช่น คณะอนุกรรมการฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายเศรษฐกิจ ฝ่ายการเมือง ฝ่ายประชาชนที่ต้องทำงานร่วมกันเสนอคณะกรรมการปรองดองเพื่อพิจารณา จากนั้นต้องนำไปเป็นข้อเสนอต่อคณะกรรมการ ป.ย.ป. และรัฐบาล ต่อไป
สุดท้ายนี้ ผมขอกล่าวถึงเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่ง อาจจะสำคัญที่สุด ในเวลานี้ ก็คือ เราต้องทำให้คนไทยสังคมไทยเป็น “สังคมแห่งการเรียนรู้” มีสติปัญญาในการที่จะแยกแยะสิ่งหนึ่ง ออกจากอีกสิ่งหนึ่ง เช่น “ความจริง ความเท็จ ความดี ความเลว” ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหลาย ๆ แหล่ง โดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย ที่ต้องมีการตรวจสอบ “ความน่าเชื่อถือ” ด้วย ก่อนที่จะเชื่อ จะพูด จะขยายความต่อไป หลายอย่างทำได้ หลายอย่างทำไม่ได้ หลายอย่างทำได้เพียงบางส่วน ทั้งนี้ ต้องพิจารณาผลกระทบ เพราะอาจสร้างความเดือดร้อน แก่องค์กร ประเทศชาติได้ การขยายความ วิพากษ์วิจารณ์ "จนเกินเลย" โดยปราศจากข้อมูลที่ถูกต้อง อาจจะเป็นการประจานความผิดเหล่านั้น ซึ่งเราควรจะแก้ไขให้ได้ ด้วยตัวเราเอง ประเทศเราเอง โดยไม่ต้องให้โลก เขารับรู้ไปด้วย จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง อันตรายกับการที่เรากำลังพยายามปฏิรูปประเทศอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเรากำลังถูกจับตามอง จากหลายองค์กรในต่างประเทศอยู่ การเอาชนะกัน หรือการดำเนินการใด ๆ ที่ซ้ายสุด ขวาสุด “สุดโต่ง” เกินไป อาจจะทำให้เกิดการเข้าใจผิด เข้าใจว่าประเทศไทย กำลังมี “ความขัดแย้ง” ไม่มั่นคง บ้านเมืองไม่มีเสถียรภาพ สิ่งดี ๆ ที่เรากำลังทำมากมาย ก็จะไม่ได้รับความสนใจ เท่าที่ควร คนไทยด้วยกันยังไม่เข้าใจ ต่างประเทศจะเข้าใจได้อย่างไร อยากให้คนไทยทุกคน รักศักดิ์ศรีประเทศของเรา การกระทำความผิดใด ๆ ขอให้ใช้กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมตัดสิน อย่าตัดสินกันเอง พูดจากัน ขยายความจน ความผิดส่วนบุคคลกลายเป็นความผิดขององค์กร ของรัฐบาล หรือ ของประเทศชาติไป ผมขอฝากให้ทุกคน ใช้ “จิตสำนึก” ใช้สติปัญญา ไม่ว่าจะกระทำการใด ๆ รัฐบาล ข้าราชการ ภาคประชาสังคม ธุรกิจเอกชน สิทธิมนุษยชน ประชาชนทุกหมู่เหล่า ต้องสำนึก ในความเป็นคนไทยรักประเทศไทยให้ถูกวิธี อย่ามองทุกอย่างเลวร้าย ไปทั้งหมดถึงแม้ว่า จะทำด้วยความหวังดี เจตนาดีแต่หลายเรื่อง ดูจะเลยเถิดไป ทำให้ประเทศชาติเสียหายสื่อโซเชียลมีเดีย ควรคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ให้มาก ไม่มีใครทำอะไรได้ 100% ทันที ทุกอย่างต้องเริ่มจาก 1 % ก่อน เหมือนจะนับ 10 ก็ต้องเริ่มจากนับ 1 เสมอ

ทำไมเราไปต่อเติมตัวเลข การประเมินของเรากันเอง ด้วยความเป็นจริง ด้วยสายตาที่เป็นธรรมจิตใจที่เป็นธรรม ต่างประเทศ ก็คงจะเข้าใจเราในไม่ช้า ผมคิดว่าเขาเข้าใจแต่เขาไม่วางใจว่าความขัดแย้งเหล่านี้ จะยังคงอยู่ต่อไปอีกหรือไม่ หากยังคงเป็นอยู่ โอกาสของเราที่มีอยู่มากมาย จะไม่เหลืออะไรไว้อีกเลย เมื่อนั้นเราจะมาสำนึก เสียใจกันภายหลังคงไม่มีประโยชน์เหมือนบทกลอนของคุณนภาลัย สุวรรณธาดา บทหนึ่งกล่าวไว้ว่า

“ทุกวันนี้ ศึกไกล ยังไม่ห่วง แต่หวั่นทรวง ศึกใกล้ ไล่ข่มเหง ถ้าคนไทย หันมาฆ่ากันเอง จะร้องเพลงชาติไทย ให้ใครฟัง” คิดดูว่าเราควรจะช่วยกันทำอะไร และอย่างไร ก่อนที่ทุกอย่าง จะสายเกินไป
ขอบคุณครับ ขอให้ “ทุกคน” มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และวันตรุษจีน ช่วยกันส่งน้ำใจ ห่วงใย ไปยังภาคใต้ ที่กำลังน้ำท่วมอยู่ นะครับ /สวัสดีครับ

ขอบคุณครับ / ขอให้ “ทุกคน” มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ / สวัสดีครับ

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้