รายการ "ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561

Last updated: 4 ส.ค. 2561  |  1896 จำนวนผู้เข้าชม  | 

รายการ "ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”
ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561 เวลา 20.15 น.
-------------------------

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มาตลอดรัชกาล โดยการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรแต่ละครั้งนั้น ก่อให้เกิดโครงการพระราชดำริ หลากหลายโครงการ ทั้งด้านการแพทย์ การสาธารณสุข การศึกษา การศาสนา ศิลปวัฒนธรรม รวมทั้ง ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ที่ล้วนเป็นการยกระดั คุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร สภาพสังคม และ ความเจริญทางวัฒนธรรมของไทย ซึ่งสะท้อนให้เป็นที่ประจักษ์ ถึงพระปฐมบรมราชโองการ ที่ว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชประสงค์ ที่จะทรงอนุรักษ์ป่า ดังพระราชปณิธานที่ว่า "พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำ พระเจ้าอยู่หัวสร้างอ่างเก็บน้ำ ฉันจะสร้างป่า" ดังนี้แล้ว โครงการอนุรักษ์ป่า สัตว์ป่า สัตว์ทะเล จึงเกิดขึ้น และแผ่ขยายทั่วประเทศ อาทิ โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ ให้ชาวบ้านช่วยพิทักษ์รักษาผืนป่า และต้นน้ำ โครงการป่ารักน้ำ นำความชุ่มชื้นคืนให้ผืนแผ่นดินไทย อีกทั้งทรงสร้างจิตวิญญาณให้ป่า ด้วยการปล่อยสัตว์ป่าสู่ธรรมชาติ ทรงอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล และฟื้นฟูป่าชายเลน เพื่อเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์ทะเลให้เติบโตขึ้นเป็นอาหารชาวโลกเป็นต้น

ในฐานะทรงดำรงตำแหน่งองค์สภานายิกาสภากาชาดไทย พระองค์พระราชทานความช่วยเหลือแก่ผู้เจ็บป่วยทั้งยามปกติ และยามฉุกเฉิน ทรงส่งเสริมให้ประชาชนบริจาคโลหิต อย่างแพร่หลาย พระราชทานโครงการหมอหมู่บ้าน หน่วยแพทย์พระราชทาน ทรงรับคนไข้ยากจนไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ทรงก่อตั้งมูลนิธิสายใจไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ช่วยเหลือทหาร ตำรวจ และอาสาสมัคร ที่บาดเจ็บ หรือเสียชีวิตจากการทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติ
ทรงตระหนักในความสำคัญของการศึกษาและโปรดให้คนไทยทุกคนรู้หนังสือ ทรงสอนเด็กชาวบ้านให้หัดเขียน หัดอ่าน ทรงอบรมให้เป็นคนดี มีความรักชาติรักแผ่นดินเกิด โปรดให้ชาวบ้านในท้องที่ห่างไกล ได้รับความรู้เพิ่มเติม อันเป็นจุดเริ่มต้นการจัดตั้ง "ศาลารวมใจ" โดยพระราชทานหนังสือความรู้สาขาต่าง ๆ ไว้ ณ ศาลาเหล่านี้ ทรงสนับสนุนการสร้างโรงเรียน ในถิ่นทุรกันดาร และพระราชทานทุนการศึกษาแก่เด็กที่ครอบครัวยากจน

นอกจากนี้ ทรงส่งเสริมให้ราษฎรมีอาชีพเสริม ด้วยการฝึกหัดงานหัตถกรรมทั้งงานทอ ถัก จัก สาน ปัก ปั้น ตกแต่ง และอีกหลากหลายชนิด ต่อมาพัฒนาเป็นโครงการศิลปาชีพ ซึ่งสร้างอาชีพ และรายได้ แก่ราษฎรหลายล้านคน และเป็นที่มาแห่ง "งานศิลป์แผ่นดิน" เผยแพร่งานศิลปะของชาติ ให้เป็นที่ประจักษ์ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งในปีนี้รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม กำหนดจัดงาน "มหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 อัคราภิรักษศิลปิน" ระหว่างวันที่ 3 - 5 สิงหาคม ศกนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแด่พระองค์ ในฐานะที่ทรงเป็น "อัคราภิรักษศิลปิน" อันหมายถึง "ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ปกปักรักษางานศิลปะ" ที่ทรงนำมิติทางวัฒนธรรม มาส่งเสริมอาชีพ คุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย ให้อยู่ดีกินดี อีกทั้งยังส่งผลต่อการอนุรักษ์ ส่งเสริม และฟื้นฟู มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติอีกด้วย

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ อันหาที่สุดมิได้ พระเกียรติคุณอันแผ่ไพศาล สถาบันการศึกษา หน่วยงาน องค์กร มูลนิธิ สมาคม ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ จึงได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญากิตติมศักดิ์ เกียรติบัตร เหรียญรางวัล เป็นจำนวนมาก รวมทั้ง น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระราชสมัญญานาม ซึ่งล้วนแสดงถึงพระอัจฉริยภาพ พระราชจริยวัตร และน้ำพระราชหฤทัย ที่เปี่ยมด้วยพระเมตตากรุณา เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม ศกนี้ รัฐบาลขอเชิญชวน พสกนิกรชาวไทย ทุกหมู่เหล่า น้อมเกล้าน้อมกระหม่อม ถวายพระพรชัยมงคล ให้ทรงพระเกษมสำราญ บริบูรณ์ด้วยพระจตุรพิธพรชัย เป็นพระมิ่งขวัญปกเกล้าปกกระหม่อมอาณาประชาราษฎร์ ตราบนาน เท่านาน

พี่น้องประชาชนที่รักครับ

ในการขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทย ทุกภาคส่วน ต่างก็มีหน้าที่ มีความรับผิดชอบของตน แต่การจะแก้ปัญหาให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมนั้น ต้องอาศัยการทำงานบูรณาการกัน ให้กลมเกลียวอย่างไร้รอยต่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเน้นย้ำอยู่เสมอ และพยายามปรับวัฒนธรรมการทำงานของรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกฝ่ายพร้อมที่จะร่วมกันทำงาน เพื่อจะวางรากฐานและขับเคลื่อน อนาคตของประเทศไปด้วยกัน ทั้งนี้ ในการสร้างความตระหนักรู้ และความเข้าใจ เพื่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่ายนั้น จำเป็นต้องมีหลักคิดที่ตรงกัน ในการตอบคำถาม 3 ประเด็นหลัก ๆ ดังนี้
ประเด็นแรก ก็คือว่า ทำไมเราต้องมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยมีแผนพัฒนาอยู่แล้ว เป็นของ สภาพัฒน์ฯ แต่ละกระทรวง ก็มีแผนการทำงานที่กำหนดไว้แล้ว ก่อนอื่นผมขอให้ลองมองปัญหาที่ประเทศเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ทั้งการเปลี่ยนแปลงภายนอกประเทศ ที่เราจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้อง เช่น การปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศของประเทศมหาอำนาจ ความขัดแย้งทางการเมืองที่ลุกลามไปสู่การค้าและแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับเศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนา ประเทศขนาดเล็ก ที่จำเป็นต้องพึ่งพาการค้า และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อย่างไทยนั้น เราได้เจอกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของเทคโนโลยี ที่ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลก นอกจากนี้ เรายังมีปัญหาเรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเอง ที่หยั่งรากลึกมาเป็นเวลายาวนาน โดยเฉพาะในเรื่องความเหลื่อมล้ำ การกระจายรายได้ที่เรายังไม่สามารถแก้ไขเยียวยาได้อย่างยั่งยืน ภาคธุรกิจยังมีข้อจำกัด ในการที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก เราขาดการลงทุนขนาดใหญ่เพื่ออนาคตในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ รวมไปถึง เตรียมการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งเรายังคงขาดการเตรียมการเพื่อรองรับสภาพสังคมดังกล่าว เราอาจจะเตรียมการยังไม่ได้ดีนัก แต่เราต้องเร่งดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ ทั้งในด้านแรงงาน การออม และระบบสาธารณสุข เป็นต้น ปัญหาต่าง ๆ ที่ผมกล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ประเทศไทยเผชิญอยู่ ซึ่งการจะนำพาประเทศให้ผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้ ทุกฝ่ายจะต้องมีเป้าหมายเดียวกัน ต้องมองภาพเดียวกันให้เกิดขึ้น โดยภาพนั้น ก็หมายถึงภาพอนาคตประเทศไทย ที่พวกเราอยากเห็น อยากจะสร้างไว้ให้กับลูกหลานของเรานั่นเอง

เมื่อพูดถึงอนาคตของประเทศไทย หลายท่านอาจจินตนาการ นึกถึงภาพของประเทศไทยที่แตกต่างกันออกไป เช่น เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ประชาชนอยู่ดีมีสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน มีโอกาส มีความเสมอภาคในการพัฒนาตนเอง มีระบบสวัสดิการของรัฐที่จำเป็นในการดำรงชีพอย่างพอเพียงและเหมาะสม เช่น การศึกษา สาธารณสุข การบริการพื้นฐานต่าง ๆ บ้านเมืองมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงาม ปลอดภัย มีสิ่งอำนวยความสะดวก สาธารณูปโภคพื้นฐาน ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต รวมถึงการคมนาคม มีระบบขนส่งมวลชน มีรถไฟฟ้า รถไฟ ที่มากขึ้นและเพียงพอ ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ที่สามารถใช้บริการเหล่านี้ได้ แล้วประชาชนต้องเคารพกฎหมาย อยู่ในศีลธรรม และจริยธรรมอันดีงาม ตามแบบแผนวัฒนธรรมไทยที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งการจะเดินไปสู่อนาคตที่ดีของประเทศไทยนั้น ที่จะให้เป็นประเทศที่ดีของคนไทยทุกคน ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สามารถทำได้ โดยประชาชน 70 ล้านคน จะต้องมีความรับรู้ ความเข้าใจที่ตรงกัน

ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จึงเป็นสิ่งที่จะมาช่วยตอบโจทย์ดังกล่าว ด้วยการกำหนดเป้าหมาย และภาพอนาคตที่เราต้องการเห็น ในอีก 20 ปีข้างหน้า เด็กที่เกิดในวันนี้ จะก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ในภาวะแวดล้อมของประเทศ ที่จะเอื้อให้พวกเขาสามารถมีความเป็นอยู่และรายได้ที่มั่นคง มีเครื่องมือที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเองได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเลือกประกอบอาชีพใด เพื่อจะสร้างความมั่งคั่งให้กับชีวิตได้อย่างยั่งยืน และต้องสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของการพัฒนาประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์นี้ ซึ่งก็คือ "ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข เศรษฐกิจพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สังคมเสมอภาคและเป็นธรรม บนฐานทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืน" โดยได้ออกแบบเป้าหมายที่ต้องบรรลุเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ ที่ประกอบกันออกมา ให้เป็นอนาคตของประเทศ 6 ด้านที่สอดรับกัน เริ่มจาก (1) คนไทยอยู่ดีมีสุขและสังคมไทยสงบ มั่นคง ปลอดภัย (2) ประเทศมีความสามารถในการแข่งขัน เพื่อยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ และการกระจายรายได้ที่เหมาะสม (3) ทรัพยากรมนุษย์ของประเทศได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสมและทั่วถึง (4) สังคมไทยมีความเท่าเทียมและความเสมอภาค (5) ประเทศมีความหลากหลายทางชีวภาพ คุณภาพสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ และ (6) การบริหารจัดการของภาครัฐมีประสิทธิภาพ และประชาชนเข้าถึงสะดวก ซึ่งเหล่านี้ เป็นเป้าหมายที่จะถูกนำไปใช้ เป็นกรอบความคิด ในการจัดทำแผนงานของภาครัฐ แผนปฏิรูปประเทศ รวมถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของสภาพัฒน์ฯ ในการขับเคลื่อนงานต่าง ๆ ไปสู่ภาพอนาคตของประเท ระยะยาว แล้วก็ถือเป็นการมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันด้วย

พี่น้องประชาชนที่รักครับ

ผมขอเรียนว่าการมียุทธศาสตร์ประเทศไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายประเทศมีและได้ใช้ยุทธศาสตร์เป็นเป้าหมายในการกำหนดแนวทางการบริหารประเทศมานานแล้ว เช่น มาเลเซีย และสิงคโปร์ ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ที่เราจะมีแผนในการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ในระยะยาว ซึ่งผมและรัฐบาลนี้ มีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง ที่จะเร่งดำเนินการตามแผนให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ประเทศมีรากฐาน และเป้าหมายในการทำงาน ให้สามารถเดินหน้าและต่อยอดในระยะต่อไปได้ การที่แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีกฎหมายรองรับ ก็เป็นอีกความตั้งใจที่จะสะท้อนความสำคัญและความมุ่งมั่นของภาครัฐ ที่จะทำให้เกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ได้เป็นการล็อค หรือบังคับให้ใครต้องทำอะไร อย่างที่หลายฝ่ายนำมาบิดเบือน โจมตีในขณะนี้ เพราะกฎหมายกำหนดไว้อยู่แล้วว่า เมื่อสถานการณ์หรือปัจจัยแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงส่งผลให้องค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งต้องเปลี่ยนไป ยุทธศาสตร์ชาติก็สามารถจะได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสม และทันต่อสถานการณ์ได้ แต่สิ่งที่เป็นความท้าทายและน่ากังวลมากกว่า ก็คือการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ให้สำเร็จผลตามที่กำหนดไว้ เพราะไม่ว่ายุทธศาสตร์ชาติจะเขียนดีแค่ไหน มีการปรับให้ทันสมัยเพียงใด แต่หากทุกคนไม่ยอมรับ ไม่ช่วยกันนำไปขับเคลื่อน ตามภาระหน้าที่ของตน เป้าหมายหรือภาพอนาคตที่วาดหวังไว้นั้น ก็คงเป็นได้แค่เพียงความฝัน

พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ

ประเด็นที่สอง ที่ผมอยากจะหยิบยกเพื่อชวนทุกท่านให้ช่วยกันคิด คือ เรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน อันจะช่วยให้เราก้าวไปสู่อนาคตของประเทศที่เราต้องการ ได้อย่างไร อาทิ (1) การแก้ไขปัญหาเร่งด่วนสำคัญของชาติ (National Agenda) (2) การบริหารราชการตามกฎหมาย อำนาจ หน้าที่ (function) การพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพ การบริหารราชการแผ่นดิน การช่วยเหลือประชาชน (3) การเดินหน้ากระบวนการปฏิรูปในเรื่องสำคัญต่าง ๆ และ (4) การขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดิน ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ที่กำหนดไว้
ซึ่งในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาที่เรื้อรังมานานในหลาย ๆ ด้าน ทั้งปัญหาความขัดแย้งในทางการเมือง ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น รวมไปถึงการไม่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายหรือสนธิสัญญาระหว่างประเทศได้ ปัญหาเหล่านี้ถูกเพิกเฉยและละเลย จนกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง ที่ยากต่อการแก้ไข ส่งผลต่อภาพลักษณ์และการยอมรับจากประชาคมโลก และบั่นทอนบรรยากาศความเชื่อมั่นด้านการค้าและการลงทุน จนกลายเป็นปัจจัยที่คอยฉุดรั้งความเจริญก้าวหน้าบ้านเมือง เห็นได้จากอัตราการเจริญเติบโต (GDP) ไตรมาสแรกของปี 2557 ช่วงก่อนที่รัฐบาลนี้จะเข้ามาบริหารประเทศ ที่หดตัวหรือติดลบ ร้อยละ 0.5

เมื่อรัฐบาลนี้ เข้ามาบริหารประเทศ ช่วงเดือน ก.ย. 57 จึงได้ให้ความสำคัญกับการเร่งสร้างความเปลี่ยนแปลง และแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประชาชน และประเทศชาติโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเร่งสร้างความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นก่อน เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติสุข ธุรกิจและห้างร้านต่าง ๆ สามารถกลับมาค้าขายได้อย่างคล่องตัว นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ริเริ่มการปฏิรูประบบราชการ และกลไกการบริหารราชการแผ่นดิน ที่เป็นอุปสรรคและสาเหตุสำคัญของปัญหาที่เรื้อรังหลายเรื่อง เช่น ปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ปัญหาการค้ามนุษย์ โดยกำหนดให้มีกลไกในการขับเคลื่อนอย่างบูรณาการ เพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วน โดยลดขั้นตอนและขจัดข้อขัดข้องที่เกิดจากกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยได้นำผู้กระทำผิดกฎหมายมาลงโทษ การจัดให้มีสัญญาคุณธรรมมีระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อจะลดการทุจริตคอร์รัปชั่น ไปจนถึงการปรับระเบียบ กฎหมาย กฎเกณฑ์ เพื่อสนับสนุนให้ภาคธุรกิจสามารถประกอบการได้สะดวกขึ้น
ทั้งนี้ผลจากการปฏิรูปและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานตามแนวทางดังกล่าว ส่งผลให้ปัจจุบันปัญหาต่าง ๆ เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น สถานะของประเทศไทยในเวทีโลก ได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ประจำปี ค.ศ. 2018 TIP Report ที่ไทยได้รับการปรับระดับขึ้น มาเป็น Tier 2 เช่นเดียวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้างาช้างผิดกฎหมาย CITES การทำประมงผิดกฎหมาย IUU Fishing และ การแก้ไขข้อบกพร่องด้านการบินพลเรือน ICAO ที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง แล้วก็เร่งแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่น่าพอใจและได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ นอกจากนี้ ธนาคารโลกยังได้ปรับอันดับในเรื่อง Ease of doing business ของประเทศไทย จากที่เคยอยู่อันดับที่ 46 มาเป็นอันดับที่ 26 ในปีล่าสุด ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีการพัฒนาดีขึ้นอันดับ 2 ของโลก หรือจาก 190 ประเทศ อีกด้วย นอกจากการเร่งแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว รัฐบาลยังได้ริเริ่มการปฏิรูปงานด้านอื่น ๆ เพื่อปรับโครงสร้าง และวางรากฐานที่สำคัญ ควบคู่ไปกับการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อวางเป้าหมาย และภาพในอนาคตของประเทศ ผมขอยกตัวอย่างการปฏิรูปที่สำคัญ เพื่อให้ทุกท่านได้เห็นปัญหาที่สั่งสมมาในอดีต และสิ่งที่รัฐบาลพยายามจะปฏิรูปและสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ได้แก่

1.การปฏิรูปและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ทุกท่านคงทราบดีว่า ในช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยขาดความสมดุลเนื่องจากเราเน้นในเรื่องการพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก การกระจายรายได้ไปสู่ฐานรากยังไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในภาคการเกษตร ขาดการวางแผนการลงทุน ขาดการทำโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เป็นเวลาหลายสิบปี เมื่อรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศจึงมีนโยบายในการปรับสมดุลโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ แม้ว่าการส่งออกจะยังเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่การลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้า การสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ก็เป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ช่วยให้ประเทศสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน รัฐบาลจึงได้ริเริ่มโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับผลผลิตภาคเกษตรกรรม เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งจะช่วยให้สินค้าเกษตรมีมูลค่าสูงขึ้น ควบคู่ไปกับการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้นวัตกรรมชั้นสูง เช่น อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ดิจิทัล การแพทย์ครบวงจร นอกจากนี้การพัฒนาพื้นที่ EEC ยังก่อให้เกิด การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หลายโครงการอีกด้วย

นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินงานด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ที่จะเป็นรากฐานสำคัญให้กับการเจริญเติบโตในอนาคต อาทิ
(1) ทางราง ภายในปี 2565 อีก 4 ปีข้างหน้า เราจะได้ใช้บริการ
• โครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง ที่ไม่ได้มีการลงทุนเป็นเวลากว่า 117 ปี ซึ่งเมื่อดำเนินการทั้งหมดแล้ว ประเทศไทยจะมีรถไฟทางคู่เพิ่มขึ้นเป็น 3,528 กม. จากเดิมที่มีอยู่เพียง 358 กม.
• รถไฟความเร็วสูง ที่นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งทั้งเส้นทาง กทม.-นครราชสีมา โครงการรถไฟความเร็วสูง กทม.-เชียงใหม่ ระยะต่อไป และโครงการ รถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบินหลักของประเทศ คือ ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา ในเรื่องของรถไฟฟ้าความเร็วสูงสายเหนือ ก็คงต้องศึกษากันต่อไป เพราะมีปัญหาในเรื่องของความคุ้มค่า คุ้มทุนด้วย ตอนนี้อย่างน้อยเราก็มี 1 เส้น ไปก่อน
• รถไฟฟ้า กทม. และปริมณฑล ที่จะเพิ่มรถไฟฟ้าให้เป็น 11 เส้นทาง
(2) ทางถนน ได้มีการเชื่อมโยงฐานการผลิตที่สำคัญไปยังพื้นที่ต่าง ๆ และประเทศเพื่อนบ้าน มีทั้งการขยายเพิ่มทางหลวง 4 ช่องจราจร ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ทางพิเศษ 2 เส้นทาง พัฒนาทางหลวงชนบท เพื่อแก้ปัญหาจราจร เพิ่มสะพานข้ามแม่น้ำขนาดใหญ่ เพิ่มสะพานข้ามหรือลอดอุโมงค์ทางรถไฟ เพื่อลดอุบัติเหตุและการสูญเสีย ที่เห็นเป็นประจำ
(3) ทางน้ำ เพิ่มท่าเรือน้ำลึก อีก 6 แห่ง จากเดิม 18 แห่ง พัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือมาบตาพุด รวมทั้งเพิ่มการเดินเรือเชื่อมพัทยา-หัวหิน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทางทะเล
และ (4) ทางอากาศ เพิ่มท่าอากาศยานเบตง รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถของสนามบินทั่วประเทศ ให้สามารถรองรับเที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 320,000 เที่ยวบินต่อปี และรองรับผู้โดยสารรวมทุกสนามบินมากขึ้น ราว 70 ล้านคนต่อปี
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการรองรับทางเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ เพื่อเป็นการวางรากฐานและช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย ให้สามารถปรับตัว ยกระดับการดำรงชีวิต ในช่วงการจัดทำแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิรูปประเทศในหลายมิติ เช่น การเข้าถึงสินเชื่อและเงินทุนเพื่อการประกอบการและใช้จ่ายฉุกเฉิน มาตรการสนับสนุนผ่านการร่วมลงทุนการจัดตั้งศูนย์สนับสนุนและช่วยเหลือ SMEs ในการนำผลิตภัณฑ์ชุมชนเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ
รวมถึงมาตรการช่วยเหลือในเรื่องหนี้ อนุมัติให้พักชำระหนี้หรือขยายเวลาชำระหนี้ กว่า 10,000 ราย รวมถึงการจัดตั้ง "โครงการคลินิกแก้หนี้" เพื่อให้บริการประชาชนที่ไม่สามารถชำระหนี้กับสถาบันการเงินได้ ขณะเดียวกัน ก็มีการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบอย่างจริงจัง ซึ่งก็จะเป็นรากฐานที่จำเป็นต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่อไป

ทั้งนี้ ผลงานจากการวางรากฐานการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง การขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เพิ่มขึ้น ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 มีการขอรับส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากช่วงเดียวกันของปี 2560 และมีมูลค่าเงินลงทุน 284,600 ล้านบาท การส่งออกใน 6 เดือนแรกของปีขยายตัวร้อยละ 11 และจำนวนนักท่องเที่ยวครึ่งแรกของปี 2561 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 จากครึ่งแรกของปีก่อนหน้า และทำให้คาดว่า GDP ของประเทศปี 2561 จะขยายตัวที่ประมาณร้อยละ 4.2 - 4.7

ในการปฏิรูปภาคการเกษตร ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่สำคัญและเกิดขึ้นซ้ำซาก ต้นตอหรือต้นเหตุของปัญหา คือการส่งเสริมการผลิตโดยการวางรากฐาน ไม่มีการบริหารจัดการผลผลิตที่ออกสู่ตลาด ที่ผ่านมาเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐ มักจะใช้มาตรการในการที่จะแทรกแซง บิดเบือนกลไกตลาด โดยการอุดหนุนราคา ซึ่งนอกจากจะก่อให้เกิดผลในเรื่องของการขาดทุนและสร้างภาระงบประมาณให้กับประเทศแล้ว ยังส่งผลให้เกษตรกรไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีการพัฒนาผลผลิตและคุณภาพ ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนั้น รัฐบาลได้ใช้หลักการตลาดนำการผลิต โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มคุณภาพผลผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด รวมถึงการบริหารจัดการราคาสินค้าเกษตรภายใต้กฎกติกาสากลให้กับเกษตรกร เช่น โครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโครงการประกันภัยข้าวนาปี การบริหารจัดการอุปทานในตลาดข้าวทำให้ปัจจุบัน ราคาข้าวที่ขายได้กระเตื้องขึ้นจากเดิม อย่างต่อเนื่อง โครงการพักชำระหนี้เงินต้น และลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง และการจัดที่ดินทำกินให้เกษตรกร ได้จัดที่ดินทำกิน ผ่านคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัด (คปจ.)

นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการปรับเปลี่ยนการผลิตพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม โดยใช้แผนที่เกษตร (Agri-Map) เข้ามาช่วย ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการผลิต และการรวมกลุ่มเกษตรกรผ่านการส่งเสริมการทำเกษตรแปลงใหญ่ รวมทั้ง การยกระดับมาตรฐานสินค้า เช่น มาตรฐาน GAP หรือ การพัฒนาสู่การทำเกษตรอินทรีย์ต่อไป การเพิ่มช่องทางการค้าออนไลน์ ทั้งหมดนี้ เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น มีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตัวเองได้โดยไม่ต้องรอแต่ความช่วยเหลือของภาครัฐแต่เพียงอย่างเดียว และไม่ต้องตกเป็นเครื่องมือของพ่อค้าคนกลาง โรงสี หรือนายทุน อย่างเช่นในอดีต เราต้องเปิดช่องทางนี้ขึ้นมาให้ได้ ของเกษตรกรเอง

การปฏิรูปด้านสังคมและความเหลื่อมล้ำที่ผ่านมานั้น ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูงมาก มีปัญหาในการเข้าถึงสวัสดิการและบริการ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียมและเสมอภาคให้คนทุกกลุ่ม เริ่มตั้งแต่การดูแลประชาชนตั้งแต่วัยแรกเกิด โดยมอบเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูให้กับครอบครัวยากจน โครงการจ้างงานเร่งด่วน การพัฒนาทักษะฝีมือ การส่งเสริมการจ้างงานและเพิ่มเบี้ยยังชีพให้คนพิการและผู้สูงอายุ การจัดระเบียบและการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนขอทาน คนเร่ร่อนและไร้ที่พึ่ง การแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยให้กับผู้มีรายได้น้อยในชุมชนแออัดและการพัฒนาโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง เราก็ต้องมีการพัฒนาให้กับข้าราชการเขาด้วย ที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ก็ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ต้องหาวิธีดำเนินการให้ได้ ข้าราชการก็เป็นส่วนสำคัญ ต้องดูแลไปด้วย

ทั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทย ที่ได้ริเริ่มโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อจะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ในการจับจ่ายซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคและค่าเดินทาง นอกจากนี้ รัฐบาลยังมุ่งเน้นการสนับสนุนให้ประชาชน ชุมชน และภาคธุรกิจ ได้มีการปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี สามารถประกอบอาชีพ ดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ ภายใต้โลกใหม่ ได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น เช่น โครงการอินเตอร์เน็ตหมู่บ้าน ที่จะเป็นฐานในการปรับตัวของชุมชน เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการค้าขายออนไลน์ เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสทางการค้า หรือการบริโภคในรูปแบบใหม่ ๆ หรือ supply chain ห่วงโซ่ที่ว่า ที่จะเชื่อมโยงกับโลกให้มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งหมดนี้ เพราะรัฐบาลมุ่งมั่นที่จะดูแลประชาชนทุกคนให้มีความเข้มแข็ง และสามารถพึ่งพาตัวเองได้ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

จากตัวอย่างการปฏิรูป 2 -3 เรื่อง ที่ผมได้กล่าวมานั้นจะเห็นว่าหลายเรื่องที่รัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงได้ ก็เป็นผลพวงมาจากความร่วมมือ ร่วมใจกันของทุกฝ่าย ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความร่วมมือจากภาคประชาสังคมและประชาชน ซึ่งกลไกความร่วมมือนี้ เป็นพื้นฐานสำคัญของคำว่าประชารัฐ ที่รัฐบาลนี้ใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนนโยบายและงานที่สำคัญของรัฐบาลเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยหัวใจสำคัญของแนวทางประชารัฐก็คือการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกคน เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับรู้และมีความเข้าใจถึงปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ ร่วมกันคิดและหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน ยึดประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง นอกจากนี้ยังเป็นกลไกที่สำคัญในการช่วยตรวจสอบ ประเมินผล รวมถึงสะท้อนแนวคิดในการแก้ปัญหาจากทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วม เพราะว่าการริเริ่มทำสิ่งใหม่ ๆ นั้น ย่อมมีปัญหา มีอุปสรรคในช่วงเริ่มต้นเป็นธรรมดา แต่เราทุกคนต้องกล้าเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านั้น แล้วก็นำปัญหาไปสู่การแก้ไข ใช้สติปัญญาในการแก้ไข และพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีและยั่งยืนให้มากขึ้นด้วย
พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ

ประเด็นที่สาม ที่ผมอยากเล่าให้ฟังในวันนี้ ก็คือทำไมเราต้องพัฒนาประเทศด้วยแนวคิดไทยนิยม แนวคิดเรื่องไทยนิยมนั้นไม่ใช่การสร้างกระแสชาตินิยม และก็ไม่ใช่ประชานิยม แต่เป็นแนวคิด หรือ Way of thinking ในการขับเคลื่อนงานต่าง ๆ บนพื้นฐานของความต้องการ ความนิยม ของคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งเป็นความนิยม หรือความเชื่อในสิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม ที่ถูก ที่ควร ช่วยกันสร้างค่านิยมในสิ่งดี ๆ บนพื้นฐานของ การมีคุณธรรม จริยธรรม ด้วย ไม่ใช่ว่านิยมอะไร อยากได้อะไร ได้มาไม่ว่าถูกหรือผิด ก็รับได้หมด คงไม่ใช่แบบนั้น นอกจากนั้นไทยนิยมยังเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาและสร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยยึดความต้องการของคนในพื้นที่ เรากล่าวมานานแล้ว ความต้องการ ของ Area Base ในพื้นที่ พูดมานานแล้ว วันนี้เราจะทำให้เป็นจริงเป็นจังมากยิ่งขึ้น ความต้องการของคนในชาติเป็นหลัก สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ ร่วมกันแก้โจทย์ หรือปัญหาที่เป็นอัตลักษณ์ เฉพาะของแต่ละชุมชน แต่ละพื้นที่ที่เรียกว่าศักยภาพด้วยกลไกของประชารัฐ เพราะฉะนั้นไทยนิยมจึงเป็นการต่อยอด ขยายผลจากประชารัฐ เป็นการส่งเสริมให้เกิดการระเบิดจากข้างใน การมีส่วนร่วม ความรับผิดชอบร่วม รัฐบาลจึงไปแสวงหาความร่วมมือจากภาคเอกชน ภาควิชาการ เพื่อให้เกิดการประสานงาน ร่วมมือกันขับเคลื่อน และแก้ไขปัญหา เมื่อมองในภาพรวมของประเทศ กระบวนการไทยนิยม เช่นว่านี้ ก็จะเป็นรากฐานสำคัญของกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย พัฒนาให้เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับสภาพสังคมของประเทศเราไม่ใช่ประชาธิปไตยแต่เพียงเปลือกนอกที่สนใจแต่การเลือกตั้ง และให้ความสำคัญแต่เสียงส่วนใหญ่ โดยไม่สนใจเสียงส่วนน้อยเหล่านี้

รัฐบาลนี้ได้เริ่มนำแนวทางไทยนิยม มาใช้เป็นแนวทางการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจฐานราก ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนคงทราบดีว่าปัญหาของประเทศ ที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนมากที่สุด ก็คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำ รายได้ และโอกาสที่กระจายไปไม่ทั่วถึงชุมชนเมือง กับต่างจังหวัด มีความแตกต่างอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกรัฐบาลต้องให้ความสำคัญและมีมาตรการเพื่อแก้ไขอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่รัฐบาลนี้ต้องการผลักดัน ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มรายได้ให้ประชาชน และยกระดับความเป็นอยู่เท่านั้น แต่ต้องการสร้างความแน่นอนทางรายได้ สร้างโอกาสและความยั่งยืนของการกินดีอยู่ดีให้กับประชาชน ภายใต้หลักของวินัยทางการคลัง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการไม่สร้างภาระด้านงบประมาณ ไม่สร้างหนี้ให้กับประเทศจนเกินตัวในระยะยาว เงินรายได้ของประเทศที่หามาได้ในอนาคตก็ควรใช้ในการดูแลประชาชนในอนาคต ไม่ควรนำมาใช้หนี้ที่ก่อขึ้นเพื่อดูแลประชาชนในวันนี้มากจนเกินกำลัง ซึ่งหลักคิดนี้ จะช่วยตอบโจทย์การสร้างอนาคตของประเทศได้อย่างตรงจุดไปพร้อมกันด้วย จึงเป็นที่มาของโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในปัจจุบัน

สำหรับโครงการไทยนิยมยั่งยืนนี้ ก็จะเป็นกิจกรรมที่มีกลไกการขับเคลื่อนตั้งแต่ระดับชาติ สู่ระดับพื้นที่ โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในรูปแบบกลไกประชารัฐ เพื่อจะสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงเสริมสร้างความมั่นคงของชุมชนในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ผ่านการวิเคราะห์ปัญหา ความต้องการของประชาชนในพื้นที่ร่วมกัน เพื่อจะจัดทำแผนแก้ไข และสร้างโอกาสในการพัฒนาตนเอง ให้ตรงกับความต้องการของประชาชน ในการเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนอย่างยั่งยืน ก็จะเห็นได้ว่าการแก้ปัญหา หรือสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ไม่ได้มาจากการวางแผนจากส่วนกลาง แต่ต้องมาจากความต้องการของประชาชนในพื้นที่เองด้วย ซึ่งเป็นผู้รู้ปัญหาและข้อจำกัดของตัวเองดีกว่า ภาครัฐจะมีส่วนร่วมในการนำผู้เชี่ยวชาญลงไปยังพื้นที่ ช่วยนำเสนอโครงการหรือแผนงานเพื่อให้ได้งบประมาณที่เหมาะสม และดูแลให้โครงการมีความสอดคล้องเชื่อมต่อกับแผนงานของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมความถึงท้องถิ่นด้วย โดยจะมีการติดตาม ประเมินผล การให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากที่มีประสิทธิภาพ และยั่งยืนต่อไป มากกว่าแนวทางที่เคยดำเนินการมา ในช่วงก่อนหน้านี้

ที่ผ่านมานั้น โครงการไทยนิยมยั่งยืน ได้มีการลงพื้นที่เพื่อวิเคราะห์ปัญหา และความต้องการของประชาชนทุกหมู่บ้าน 4 ครั้ง มีประชาชนเข้าร่วมกว่า 8 ล้านคน โดยประชาชนได้มีส่วนร่วมในการสะท้อนสภาพปัญหาที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ มีการแสดงความเห็น และข้อเสนอแนะวิธีการ หรือโครงการที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของชุมชน ในขณะที่ภาครัฐทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ประสานงานและคอยอำนวยความสะดวกด้านต่าง ๆ เท่านั้น ทั้งนี้ โครงการไทยนิยมยั่งยืน มีแผนงานที่เสนอขอรับงบประมาณขึ้นมา แบ่งเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย
(1) โครงการประเภทสร้างอาชีพ สร้างรายได้ โดยตรง 3 ลำดับแรก ได้แก่ ลานตากผลผลิตทางการเกษตร การปรับปรุงภูมิทัศน์แหล่งท่องเที่ยว และโรงสี
(2) โครงการประเภทสร้างอาชีพ สร้างรายได้ โดยอ้อม 3 ลำดับแรก ได้แก่ ถนนเพื่อการเกษตร ขุดลอกสระ-ห้วย-หนอง-คลอง-บึง และ ลานอเนกประสงค์ - สาธารณประโยชน์
(3) โครงการประเภทส่งเสริมคุณภาพชีวิต 3 ลำดับแรก ได้แก่ ถนนสัญจรภายในหมู่บ้าน ศาลากลางบ้าน ศาลาประชาคม หรืออาคารอเนกประสงค์ และ การปรับปรุงซ่อมแซมประปาหมู่บ้าน
ทั้งนี้ โครงการไทยนิยม ยั่งยืน นับเป็นอีกก้าวสำคัญ ที่ช่วยแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่สำคัญ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเป็นการแก้ปัญหา และช่วยเหลือประชาชนได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นโครงการที่รัฐทำเพื่อประชาชน รับฟังประชาชน และให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และออกแบบโครงการที่เหมาะสม อย่างแท้จริง ซึ่งผลสัมฤทธิ์ของแต่ละโครงการจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยเฉพาะการปรับตัวของประชาชนเอง ทั้งนี้ โครงการนี้ จะเป็นการดำเนินการต่อเนื่อง โดยรัฐบาลจะประเมินผลโครงการและนำมาปรับปรุงกิจกรรมการดูแลสร้างความเข้มแข็งให้ประชาชนในชนบทให้ดีขึ้น ต่อไป

พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ

ทั้งสามประเด็น ที่ผมนำมาเล่าสู่กันฟังนี้ก็เพื่อที่จะบอกทุกท่านว่า การสร้างอนาคตประเทศไทยในช่องทางต่าง ๆ จะสำเร็จสมบูรณ์ไม่ได้ ถ้าปราศจากเป้าหมาย ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน หากมองย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปี ที่ผ่านมา วันนี้ทุกอย่างค่อย ๆ ปรับดีขึ้น ประเทศไทยได้รับความเชื่อมั่นจากต่างประเทศมากขึ้น การขยายตัวของเศรษฐกิจดีขึ้น การลงทุน และการส่งออก นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น มีโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น ประเทศกำลังทยอยเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลกำลังเร่งให้การเติบโตลงไปยังฐานรากได้ดีขึ้น ที่สำคัญเรากำลังจะมียุทธศาสตร์ชาติที่จะช่วยให้เราทุกคนเห็นเป้าหมายร่วมกัน ได้เห็นเส้นทาง ที่เราจะเดินไปสู่เป้าหมาย

ส่วนใครจะวิ่ง ใครจะเดิน ใครจะบินไป ก็ขึ้นอยู่กับวิธีการ และศักยภาพของแต่ละคน ใครที่แข็งแรง ก็ไปถึงเป้าหมายได้เร็วหน่อย ในส่วนของรัฐบาลก็มีหน้าที่ที่ต้องคอยประคับ ประคองให้คนที่ยังอ่อนแอ หรือแข็งแรงน้อยกว่า ได้มีโอกาสพัฒนาและก้าวไปสู่เป้าหมายเดียวกัน เพราะเราไม่ต้องการทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด และจะมีอิทธิพลต่อการสร้างอนาคตของประเทศ มากที่สุด ซึ่งสามารถทำได้ทันที ก็คือการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เริ่มที่ตัวเรา ไม่ต้องรอให้คนอื่นเปลี่ยน เพราะภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ และสังคมไม่เคยหยุดนิ่ง อีกทั้งเทคโนโลยีรอบ ๆ ตัว ส่งผลต่อการใช้ชีวิต การทำงาน การทำธุรกิจ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราต้องปรับเปลี่ยน เพื่อให้เท่าทัน ไม่พลาดโอกาส ไม่เสียสิทธิที่ควรได้รับ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ (รายได้) สังคม (สถานะ) และการเมือง หากพวกเราทุกคน สามารถปฏิรูปตัวเอง ให้เป็น Active Citizen ให้เป็นพลเมืองที่ตื่นตัว ที่มีความคิดเท่าทัน มีความยืดหยุ่น ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ รอบตัวได้ทันการณ์ การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ จากตัวเราเองเช่นนี้ จะสามารถขยายออกไปเป็นวงกว้างจนกลายเป็นพลังสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่อนาคตของประเทศที่เราต้องการได้เช่นกัน

บทเรียนหรือตัวอย่างล่าสุด ที่อาจนำมาใช้เป็นอีกมุมมองของ Active Citizen ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่นานนี้ ที่ถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย วันนี้ พวกเราทุกคนดีใจ ปลาบปลื้มใจที่ภารกิจในการช่วยเหลือ "13 หมูป่า" สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี แต่เบื้องหลังของความสำเร็จดังกล่าว เป็นผลจากความร่วมมือ ร่วมใจกัน ของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชนในพื้นที่ คนไทยทั่วทุกภาค ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ และทั่วโลก จะเห็นได้ว่าห้วง 10 กว่าวันของภารกิจดังกล่าว มีปัญหา และอุปสรรคเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ด้วยความเป็น Active Citizen ของทุกคน ทุกฝ่าย ในการทำบทบาทของตนเอง การที่มีผู้บัญชาการเหตุการณ์ที่มีความเป็นผู้นำ พร้อมรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะ จากทุกฝ่าย กล้าคิด กล้าทำ และกล้าตัดสินใจในเรื่องที่จำเป็น ก็มีอยู่หลายท่านด้วยกัน ที่เกี่ยวข้องในส่วนนี้ เพราะต้องหารือร่วมกันทั้งหมด ไม่ใช่ตัดสินใจด้วยตัวเองทั้งหมด ต้องนั่งประชุม นั่งหารือ แล้วหาจังหวะที่ถูกต้องให้ทันเวลา การตัดสินใจนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ฉะนั้นการที่ทุกคนเข้ามาร่วมภารกิจรับฟัง ร่วมใจในการประชุม ตัดสินใจ การวางแผนการดำเนินงานทั้งหมด มีความรัก ความสามัคคี แล้วก็เสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม อย่างเช่น นาวาตรี สมาน กุนัน นะครับ ทั้งหมดนี้ ไม่เพียงแต่เราคนไทยที่ดีใจและชื่นชมกับความสำเร็จนี้ ประชาคมโลก ต่างก็กล่าวถึงการร่วมแรงร่วมใจกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง สื่อต่างประเทศหลายสำนัก ถึงกับกล่าวว่า เหตุการณ์นี้ได้สร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับประเทศไทยในสายตาชาวโลกไปเรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์นี้ พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีอะไรที่คนไทยทำไม่ได้ ถ้าพวกเราทุกคนร่วมมือกัน ไม่ว่าปัญหาจะหนักหนาแค่ไหน เราคนไทยก็สามารถผ่านพ้นไปได้ ผมมีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทย จะสามารถยืนหยัดท่ามกลางกระแสความท้าทายของโลก และมีอนาคตประเทศที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนได้ หากเราร่วมมือ ร่วมใจ สร้างไทยไปด้วยกัน วันนี้ก็มีภาพยนตร์ วีดีทัศน์ไปฉายอยู่บนเครื่องบินของการบินไทยแล้วเรื่องการทำงานที่ถ้ำหลวง ทั้งนี้เพื่อให้คนสร้างการรับรู้ของผู้โดยสารทั้งหมดที่ใช้บริการของการบินไทยได้รับทราบไปด้วยครับ

สุดท้ายนี้ ผมขอเรียนว่า องค์กรสื่อ ถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย นอกเหนือไปจากสถาบันภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ทั้งหมดนี้ คุณภาพ และความตั้งมั่น ในการให้บริการ ให้ข่าวสารโดยให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ของการทำงาน จะทำให้องค์กรสื่อเป็นอีกแรงหนึ่งในการจะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไปสู่อนาคตที่ดี รวมถึงการเป็นประชาธิปไตยของประเทศให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เพราะปัจจุบัน ในยุคที่สื่อเกิดขึ้นในรูปแบบที่หลากหลาย สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างใกล้ชิด รวดเร็วมากยิ่งขึ้นนี้ การยืนหยัดเพื่อต่อสู้ และนำเสนอสิ่งที่ถูกต้องของสื่อหลักถือเป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะเป็นทั้งหลัก และแรงบันดาลใจ ให้กับสื่ออื่น ๆ แล้วยังจะทำหน้าที่เป็นแกนกลางของข้อมูลที่ถูกต้อง เชื่อถือได้ให้กับประชาชนด้วย คำว่า "สื่อ" มีความชัดเจนในความหมายอยู่แล้วว่าเป็นตัวกลาง ในที่นี้ คือ การส่งผ่านข่าว สาร ข้อมูล นโยบาย และมาตรการต่าง ๆ ให้กับประชาชน หน้าที่นี้ทำให้สื่อมีอิทธิพลเป็นอย่างมาก ต่อกรอบความคิด และมุมมองของประชาชน และถ้ามองลึกลงไปอีก ข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกนำเสนอจะสามารถสะท้อนให้เห็นถึงการทำงาน และปัญหาที่หลายฝ่ายต้องประสบ และอาจจะต้องสร้างความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจกันระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เกิดการบูรณาการได้มากขึ้น ทั้งนี้ผมขอให้ทุกคน ทุกภาคส่วน ได้ร่วมกันสร้างไทยไปด้วยกัน เพื่ออนาคตของลูกหลานและเพื่อวันข้างหน้าที่ดีกว่าของเราทุกคนนะครับ

ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพ และทุกครอบครัวมีความสุข ปลอดภัยนะครับ สวัสดีครับ

ชมรายการย้อนหลังผ่านยูทูป ช่องวีดีโอ chorsaard

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้