Last updated: 12 ธ.ค. 2560 | 1829 จำนวนผู้เข้าชม |
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”
ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560 เวลา 20.15 น.
-------------------------
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
จากเหตุการณ์ระเบิด ในอาคารเฉลิมพระเกียรติโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กรุงเทพมหานคร และที่ตําบลสะเตงนอก อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร โปรดเกล้าฯให้ผู้แทนพระองค์ นำสิ่งของพระราชทาน เยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ เป็นขวัญกำลังใจแก่ ประชาชน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และพลเรือน ตลอดจน ผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติ และช่วยให้สังคมไทย กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข ในเร็ววันนะครับ
หากพี่น้องประชาชนติดตามข่าวสารมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศและทั่วโลก จะรับรู้ถึงเรื่องราวการใช้ความรุนแรง และการสร้างความหวาดกลัว เกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น โดยล่าสุด เป็น “การก่อการร้าย” ในเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ, เมืองมาราวี บนเกาะมินดาเนา ประเทศฟิลิปปินส์ และสถานีขนส่ง กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย
ทั้ง 3 เหตุการณ์นั้น และความไม่สงบในพื้นที่อื่นๆ ทั่วทุกมุมโลก ในช่วงที่ผ่านมานั้น ประเทศไทยเองก็ได้แสดงถึงความเห็นใจในการสูญเสีย เสียใจนะครับ ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นอีกด้วย รวมทั้งได้ร่วมประณามการกระทำดังกล่าว ดังนั้นผมอยากให้ทุกสถานการณ์ ทุกสถานที่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ใหญ่ หรือเล็กนะครับช่วยกันเป็นแรงผลักดันให้ทุกภาคส่วน ทั้งคนในชาติ และเพื่อนบ้าน ชาติพันธมิตร ได้มีการกระชับความร่วมมือ หันหน้าเข้าหากัน เพื่อแสวงหาแนวทางแก้ปัญหา อย่างยั่งยืนตลอดไปนะครับ ทั้งนี้ปัญหาความไม่มั่นคง ทุกรูปแบบ ย่อมบั่นทอนความเจริญก้าวหน้า และการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม ทั้งของไทยและประชาคมโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สำหรับงานการข่าวกรองนั้น ทางหน่วยงานความมั่นคงก็ได้ปฏิบัติงานมาอย่างต่อเนื่องนะครับ ด้วยการทำงาน ของ “ประชาคมข่าวกรอง” ที่ได้มีกระบวนการตามวงรอบข่าวกรองอย่างรัดกุม มีการวิเคราะห์ คัดกรองข้อมูล ทั้งจากแหล่งข่าวเปิดและทางปิดจำนวนมาก เพื่อกำหนดความน่าเชื่อถือของแต่ละข่าวได้ ไม่ใช่เอาข่าวลือหรือข่าวที่พูดต่อกันไปมาปากต่อปากมาเอาคิดเอง วิเคราะห์เอาเอง ที่สำคัญการข่าวกรองจะต้องแม่นยำและทันเวลา นำสู่การปฏิบัติได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ยากมากนะครับ ที่อาจจะทำไม่ได้ถึง 100%
เช่น การกำหนดมาตรการระวังป้องกันต่อเป้าหมาย หรือพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดเหตุ พร้อมทั้งหน่วยงานความมั่นคงจะต้องกำหนดมาตรการในการปฏิบัติทั้งก่อน ระหว่าง และหลังเกิดเหตุการณ์ เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้นแล้ว ก็จะเป็นกระบวนการสืบสวนสอบสวนต่อไป เพื่อทีจะหาผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้ได้นะครับ ซึ่งจำเป็นต้องมีความชัดเจนด้วยพยานหลักฐาน ทั้งบุคคล และวัตถุพยานนะครับ การทำงานของ หน่วยการข่าว หน่วยงานความมั่นคง และเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนนั้นจำเป็นต้องมีความสอดคล้อง มีขั้นมีตอน และต้องทำงานอย่างรอบคอบรัดกุม โดยไม่ทำตามกระแส
ที่สำคัญประชาชนทุกคนต้องเข้าใจ ต้องช่วยกันเฝ้าระวังนะครับ บ้านเมืองของเรายังมีผู้ประสงค์ร้าย ทำลายประเทศอยู่ ถ้าหากว่าทุกคนช่วยกัน จะทำให้งานการข่าวของเราดีขึ้น และจะสามารถกำจัดคนเหล่านั้นให้หมดไปได้โดยเร็ว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคง ปัจจุบันมีข้อมูลเครือข่ายการก่อเหตุร้ายอยู่เป็นจำนวนมากนะครับ ในหลายๆพฤติกรรมนะครับ ทั้งกลุ่มบุคคลและบุคคล แต่เราจำเป็นต้องมีการพิสูจน์ทราบให้เกิดความแน่ชัดก่อนนะครับ และจะต้องระมัดระวังการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล การที่จะให้มีข่าวออกมาก่อน เป็นไปไม่ได้นะครับ ทุกเรื่อง
ทั้งนี้ ผมไม่อยากให้สังคมมองว่าการข่าวกรองของรัฐล้มเหลว เพราะงานการข่าวกรองนั้นไม่มี 100 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้วนะครับ ที่ผ่านมาเราต้องทำให้มากที่สุดนะครับ ใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุดจากงานการข่าวกรองซึ่งเราทำมาอย่างต่อเนื่อง ถ้าเราสามารถป้องกันได้ก่อน ก็จะเป็นการดี หลายเหตุการณ์นะครับ ที่ไม่เกิดขึ้น แล้วก็ไม่เป็นข่าว เพราะเหตุไม่เกิด ก็ต้องไปมองว่าตรงนั้นเขาทำได้ดีแล้วนะครับ ก็มีบางส่วนที่อาจจะไม่ได้ 100% นะครับ ก็ต้องเห็นใจซึ่งกันและกันนะครับ ฝ่ายผู้ไม่หวังดีมีกระบวนการ วิธีการที่คิดแตกต่างกันอยู่ ทั้งทำเองบ้าง จ้างวานบ้าง สั่งการบ้างอะไรทำนองนี้นะครับ เพราะฉะนั้นบ้านเมืองเราก็ต้องขจัดคนแบบนี้ออกไปให้ได้ ขอให้ช่วยกันนะครับ เป็นหูเป็นตา เป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบ้าง ซึ่งทุกคนก็ต่างทำงานกันหามรุ่งหามค่ำนะครับ คนไม่ดียิ่งมาก เจ้าหน้าทีก็เหนื่อย หนักนะครับ แล้วก็ผลกระทบทางสังคมก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการรักษาความสงบสุขของสังคม และความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน ก็ช่วยเป็นกำลังใจให้กันและกันนะครับ แล้วขอให้สุจริตชนทุกคนนั้นได้ปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินทุกคนตลอดไปนะครับ
คสช. ได้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน เป็นระยะเวลาครบ 3 ปีแล้วนะครับ ภายใต้สภาพแวดล้อม “ความไร้เสถียรภาพ” ภายในประเทศ ตามที่ทุกคนรับรู้ รับทราบกันดีอยู่แล้ว ผนวกกับ “ความไม่มั่นคง” ของโลก ตามที่ได้ยกตัวอย่างไปขั้นต้น ส่งผลกระทบโดยตรงนะครับ โดยอ้อมด้วย ต่อการใช้ชีวิตของพี่น้องประชาชน แล้วก็เป็นแรงกดดันให้กับเจ้าหน้าที่ แล้วประกอบกับมี ปัญหาซ้ำเติมมาด้วยเรื่องปัญหาปากท้องนะครับ ก็ทำให้เกิดความยุ่งยากในการบริหารงานมากกว่าในสถานการณ์ปกติ ยิ่งกว่านั้น รัฐบาลนี้ ก็ยังมีภารกิจ มากมายนะครับ อาจจะมากกว่ารัฐบาลต่างๆที่ผ่านๆ มา เพราะเป็นรัฐบาลที่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้งนะครับ เป็นมาหลายปีแล้ว แล้วก็เป็นรัฐบาลที่เป็นความหวังของคนไทยส่วนใหญ่ทั้งประเทศนะครับ อีกอย่างน้อย 3 ประการด้วยกันนะครับ ก็คือ
(1) การแก้ปัญหาต่างๆ ที่หมักหมมมานานในอดีตนะครับ ต้องแก้ทั้งระบบ แก้ทั้งเป็นปัญหาองค์รวมนะครับ แล้วปัญหาปลีกย่อยอีกด้วย (2) เรื่องการปฏิรูปประเทศ เรามีทั้งหมด 11 ด้านนะครับ และ (3) การกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งเป็นการวางรากฐานในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ คือสิ่งที่เราคาดหวังว่าอยากให้เกิดขึ้นในอนาคตให้ได้แล้วก็ทำไปตามนั้น ให้ไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ด้วยการน้อมนำ “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นพื้นฐานในการวางกรอบยุทธศาสตร์ชาติ และการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่นำมิติความมั่นคงมาร่วมในการพิจารณาด้วยนะครับ อย่าไปมองด้านใดด้านหนึ่ง เกี้อกูลซึ่งกันและกันทั้งหมดนะครับ ความมั่นคง เศรษฐกิจ กระบวนการยุติธรรม ทั้งหมด มีผลกระทบทั้งสิ้น
รวมทั้งในเรื่องของการการส่งเสริมให้ประชาชนชาวไทย และประชาคมโลก ได้แลกเปลี่ยน เรียนรู้ ในการประยุกต์ “ศาสตร์พระราชา” ดังกล่าว ไปใช้ในการพัฒนาที่ยั่งยืน ให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนา SDG 2030 ของสหประชาชาติอีกด้วย ถึงแม้ว่าปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วนั้น จะเป็นอุปสรรคกีดขวางการทำงานของรัฐบาลและ คสช. แต่ก็ไม่ได้นำไปสู่ความล้มเหลวแต่อย่างใดนะครับ ผมอยากยืนยันอย่างนั้น
รัฐบาลสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ จาก GDP ร้อยละ 0.1 ในครึ่งแรกของปี 2557 มาอยู่ที่ร้อยละ 2.8 ในปี 2558 นะครับ นี่คือก่อนหน้าที่เราเข้ามานะครับ แล้วเราเข้ามาแล้วในปี 2557 เดือนพฤษภาคม และมีการขยายตัวต่อเนื่องตามศักยภาพและภายใต้ข้อจำกัด ทั้งภายในและภายนอกประเทศ เป็นร้อยละ 3.2 ในปี 2559 และ 3.3 ในไตรมาสแรกของปีนี้นะครับ
ผมอยากจะย้ำอีกครั้งหนึ่ง ว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ “ระดับของความเข้าใจ ไว้ใจ และความร่วมมือ” ของพี่น้องประชาชน ทุกคน ทุกฝ่าย ที่จะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ อย่างแท้จริง และผมเองก็เชื่อว่า เมื่อสุขภาพกายและใจของเราดี เข้มแข็งแล้ว ก็จะเป็น “ภูมิต้านทาน” คุ้มกันเรา ให้ปราศจากโรคภัยและเชื้อโรคจากภายนอกได้นะครับ
ทั้งนี้ ในการรายงานผลความคืบหน้า การบริหารราชการแผ่นดิน ครบรอบ 3 ปี ของรัฐบาลและ คสช. นั้น ผมคิดว่า ขณะนี้ยังไม่จำเป็นนะครับ อาจจะไม่เป็นประโยชน์มากนัก เพราะเราก็ได้พยายามสร้างการรับรู้มาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็อาจจะไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร แต่เราก็ทำทุกอย่างมาโดยตลอด แต่ก็ยังมีผู้ที่พยายามรอจังหวะและโอกาส ในการที่จะบิดเบือน “ข้อเท็จจริง” บั่นทอนกันเอง ทั้งนี้คงไม่ใช่เป็นการ “ติเพื่อก่อ” แต่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ โดยไม่ผ่านกระบวนแสวงหาข้อมูลที่ครบถ้วน ไม่ฟัง ไม่อ่าน ก็เลยไม่มีข้ามูลที่รอบด้าน หยิบเอาเฉพาะบางประเด็น ซึ่งเป็นรายละเอียดที่ต้องแก้ไขอยู่มาโจมตี จนงานใหม่ หรืองานใหญ่ทำไม่ได้ เมื่องานเล็กทำไม่ได้ งานใหญ่ก็ไปไม่ได้เหมือนกัน เพราะอยู่ในกลุ่มงานเดียวกันนะครับ เพราะฉะนั้นอยากจะฝากว่า ถ้า
หากพี่น้องประชาชนได้มีการติดตามการดำเนินการของทุกกระทรวง หรือทุกหน่วยงาน ตามนโยบายรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่องแล้ว ความพยายามเหล่านั้นที่ไม่เป็นกุศลไม่มีเจตนาดีเหล่านั้น คงไม่ส่งผลกระทบใดๆ นะครับ เพราะเราต้องอยู่กันบนพื้นฐษนของความไว้เนื้อเชื่อใจ ความไว้ใจ ที่พี่น้องประชาชน ให้โอกาสผม, รัฐบาล และ คสช. ได้ทำงาน ตามที่ได้แถลงไว้ตั้งแต่ต้นนะครับ
สำหรับพี่น้องสื่อมวลชนนั้นนะครับ ผมก็อยากจะขอร้อง ขอให้ทบทวน ได้มีการปรับทัศนคติใหม่นะครับ เราคิดอย่างเดิมทำอย่างเดิมกันไม่ได้แล้วต่อไปในช่วงนี้นะครับ หรือช่วงหน้าด้วย จากเดิมบางส่วนอาจจะเข้าใจกันว่าเราจำเป็นต้องรายงานข่าวให้ดึงดูด ให้โดนใจนะครับ โดยอาจจะละเลยจรรยาบรรณของสื่อไปบ้าง แบบนี้เป็น “การขายข่าว” ไม่ใช่ “การขายความรู้” ประชาชนก็อาจจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการทำงานของท่านเลยนะครับ สื่อที่ดีๆ มีอีกมากมาย
ผมก็เห็นว่าพี่น้องประชาชนในปัจจุบันนั้นมีการศึกษาสูงขึ้น วุฒิภาวะเพียงพอนะครับ มีความรู้เท่าทันและรู้จักการตรวจสอบมากขึ้น ก็น่าจะสามารถแยกแยะในการเสพสื่อที่มีความรับผิดชอบ สื่อที่มีคุณภาพได้ดียิ่งขึ้น ก็คงมีคนหรือสื่อฯ “ส่วนน้อย” เท่านั้นนะครับ ที่อาจจะยังไม่พัฒนาตนเอง ชอบความขัดแย้ง ไม่เปิดรับความเห็นต่างๆนะครับ ที่มีหลายด้านด้วยกัน มาประมวล ประยุกต์ เพื่อจะสร้างความเชื่อมั่นนะครับ ให้กับตนเองให้กับสังคม เพราะฉะนั้นอาจจะยังนิยมสื่อฯ หรือนิยมการเสนอข่าว ขายข่าวแบบเดิมๆ ที่อาจจะมีผลเสียในเรื่องของการทำลายประเทศ ในด้านต่างๆ นะครับ ทำลายสังคม และบั่นทอนบรรยากาศความปรองดองของคนในชาติ บรรยากาศของความมีเสถียรภาพ ในการลงทุน ในด้านเศรษฐกิจด้วยนะครับโดยอาจจะมีทั้งเจตนา ไม่เจตนา หวังดี ไม่หวังดี ซึ่งต่างฝ่าย ต่างไม่ยอมให้มีการตรวจสอบใดๆ ทั้งสิ้น แล้วข้อสำคัญคือไม่มีความรับผิดชอบนะครับ รัฐบาลก็ต้องแบกรับปัญหาเหล่านี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็ทำงานได้ช้า ช้าเกินไปนะครับ เราต้องมาช่วยกันคิดนะครับว่าจะป้องกันเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร
พี่น้องประชาชนที่รักครับ, ในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน การปฏิรูปประเทศเช่นนี้ ประเทศชาติของเรานั้น เราต้องการมีความเป็นประชาธิปไตย ซึ่ง“โดยเนื้อแท้” แล้วนั้น เราไม่ควรจะถือเอาว่า “การเลือกตั้ง” คือประชาธิปไตยที่สมบูรณ์นะครับ หรือไม่สนใจแต่เพียงการมี “อำนาจอธิปไตย” จากฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ แต่หากเราไม่มีการตรวจสอบได้นะครับ ถ่วงดุลกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นวันนี้รัฐบาลก็จำเป็นต้องปลูกฝังสิ่งเหล่านั้นนะครับ กำลังปลูกฝัง เร่งสร้างบรรทัดฐานใหม่ ที่เราอาจจะห่างหายลืมเลือน หรือขาดแคลน บนเส้นทางของการพัฒนาที่ทรงพลังและยั่งยืนอันได้แก่นะครับ...
1. การพัฒนาที่ยั่งยืนและทั่วถึง โดยเราอาจจะวัดได้จาก “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” (Gross National Happiness : GNH) แทน “ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ” (Gross Domestic Product : GDP) ที่มุ่งสร้างอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ให้ความสำคัญกับตัวเลข แต่ละเลยมิติด้านคุณภาพ เช่น การอัดฉีดมาตรการประชานิยมที่ไม่เป็นประโยชน์ ไร้วินัยทางการคลัง ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ไม่ยั่งยืนนะครับ และกลับสร้างปัญหามากมายในภายหลัง โดยรัฐบาลนี้ได้ให้ความ สำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน อาทิเช่น
(1) การสร้างความปลอดภัยให้เกิดขึ้นในสังคม, ยุติยับยั้งกิจกรรมที่ผิดกฎหมายของผู้ที่มีอิทธิพล มาเฟีย, เร่งขจัดปัญหายาเสพติด รวมไปถึงการจัดระเบียบสังคมในเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อยน่าอยู่ มีวัฒนธรรม
(2) การจัดระเบียบชุมชนริมคลองลาดพร้าวและคลองบางซื่อ มีเป้าหมาย 52 ชุมชน 7,000 กว่าครัวเรือน ซึ่งดำเนินการไปแล้ว 9 ชุมชน 700กว่าครัวเรือนนะครับ
(3) การฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ระยะที่ 1 ซึ่งมีความคืบหน้า ร้อยละ 12 เร็วกว่าแผนที่วางเอาไว้นะครับ คาดคะเนว่าจะแล้วเสร็จ และผู้อยู่อาศัยเดิม สามารถย้ายเข้าไปอยู่ได้ ประมาณเดือนมิถุนายนปีหน้า
(4) การส่งเสริมการออมผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมสูงอายุ เพิ่มช่องทางการออมหลังเกษียณ ตั้งแต่อยู่ในวัยทำงานเกือบ 40 ล้านคน ทั้งแรงงานในและนอกระบบ และ
(5) การพักหนี้และปรับโครงสร้างหนี้เกษตรกรยอดมูลหนี้กว่า 3 แสนล้านบาท เป็นต้น
สำหรับ กรณีการปฏิรูประบบสาธารณสุข การบริการประชาชน ในโครงการบัตรทองเราต้องมาดูว่าที่ประชาชนไม่ได้รับการบริการดีเพียงพอ เราต้องมาร่วมกันพิจารณาดูนะครับว่า งบประมาณด้านสาธารณสุขนั้น ต้องใช้ในงานอะไรบ้าง อาทิเช่น 1. บุคลากรทางการแพทย์ 2. ค่ารักษาพยาบาลคนไทยเกือบ 70 ล้านคน ซึ่งมีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากนะครับ และเข้ามารับบริการหมดโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
3. งบประมาณในการพัฒนาปรับปรุงโรงพยาบาล สถานพยาบาลรัฐ เครื่องมือทางการแพทย์นะครับ 4. งบประมาณผลิตบุคลากร งบประมาณบริหารงาน 5. งบประมาณค่ายา ทั้งยาทั่วไปราคาปกติ ราคาแพง ใช้ตามการวินิจฉัยของแพทย์นะครับ และความร้ายแรงของโรค งบประมาณเหล่านี้ ถือว่าสูงมากนะครับ อย่างไรก็อาจจะไม่พอในขณะนี้ เพราะว่าโรงพยาบาลมีรายได้จำกัด รัฐบาลก็มีรายได้จำกัดนะครับ
หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ต้องใช้มากเกินไปก็ย่อมมีผลกระทบซึ่งกันและกันนะครับ แต่รัฐบาลนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่าจะต้องมีความรับผิดชอบ ดังนั้นเราต้องมาพิจารณาร่วมกันให้ดีนะครับ ในการใช้จ่ายงบประมาณทั้งจากรัฐ และงบประมาณของ สสส. นะครับ ที่จะต้องนำมาพิจารณาร่วมกันให้สอดคล้อง ไม่เช่นนั้นก็แก้ปัญหาเหล่านั้นไม่ได้เลยทั้งสิ้นนะครับ
เรื่องการใช้ยาแพงมารักษาพยาบาลในการบริการบัตรทองก็เป็นปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกันนะครับ อาจจะทำให้คนเข้าไม่ถึงยาราคาแพงเหล่านั้น เพราะงบประมาณมีจำกัดนะครับ รัฐบาลก็ต้องหาวิธีแก้ วันนี้ก็เริ่มแก้โดยเร่งรัดส่งเสริมการผลิตยา หรือวัคซีนบางประเภทเอง แล้วก็นำมาใช้ให้ได้นะครับเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงยาราคาแพงเหล่านั้นนะครับ เพราะเราซื้ออย่างเดียวไม่ได้แล้วต่อไปนี้นะครับ ก็ฝาก คณะกรรมการต่าง ๆ ทางการแพทย์ ให้ช่วยกันมาดูตรงนี้ด้วยนะครับ เราจะลดค่าใช้จ่ายอะไรกันได้บ้าง ต้องทำอะไรขึ้นมาเองบ้างนะครับ คงต้องมาช่วยกัน
จะได้เห็นว่าเรื่องนี้รัฐบาลได้มองทุกมิตินะครับ ไม่ว่าจะเป็นการบรรจุข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงาน การผลิตยา การซื้อยา การช่วยเหลือค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาล สถานพยาบาล การควบคุมราคายา การผลิตยาเอง หรืออื่นๆ นะครับ หากเราแก้ได้ทั้งระบบด้วยความเข้าใจ ด้วยความร่วมมือ มากกว่าที่เราจะมาติติงกันว่านั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ใช่ ไม่เห็นใจ ไม่เข้าใจกัน มันก็แก้อะไรไม่ได้ หรอกครับ ทุกคนก็มีความต้องการงบประมาณทั้งสิ้น ไปๆ มาๆ ก็มีผลกระทบพันไปพันมาจนยุ่งเหยิงนะครับ เราต้องช่วยกันแกะออกมาแล้วก็ช่วยกันคิดช่วยกันทำนะครับ
ทั้งรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการยา สสส. แพทยสภา บุคลากรทางการแพทย์ทุกประเภท ว่าเราจะแก้ไขปรับปรุงประสิทธิภาพการบริการด้านสาธารณสุขอย่างไร อันนี้ก็หมายความถึงงานอื่นด้วยนะครับ ทุกกระทรวงนั่นแหละ ทุกกลุ่มงาน
ปัจจุบันนั้นกระทรวงสาธารณสุข ก็ได้จัดโครงการแพทย์ชุมชนออกเยี่ยมเยียนตรวจจ่ายยาในทุกพื้นที่ เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องเสียเวลามารอที่โรงพยาบาล เสียเวลาเดินทาง ก็คงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งนะครับ จึงจะทำได้ครบทุกพื้นที่ โดย 1 ชุดนั้นจะรับผิดชอบประชาชน 30,000 คนนะครับ
และเราก็จะต้องเร่งการพัฒนายาสมุนไพรราคาถูกเพื่อใช้รักษาพยาบาลในขั้นต้น ป้องกันตนเองไว้ก่อน ก่อนที่จะเป็นมากขึ้นนะครับ การเจ็บป่วยจะร้ายแรงมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญก็ที่จะทำให้เราไม่ต้องใช้ยา ไม่สิ้นเปลือง ไม่ต้องหาหมอ ก็คือทำให้ตนเองแข็งแรง นโยบายรัฐบาลก็ไห้ทุกคนออกกำลังกายนะครับ ลดการป่วยเจ็บรักษาตัวเองให้ได้ก่อน นะครับ
2. การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งนั้น เราต้องทำด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศนะครับ ส่วนใหญ่ที่เราทำวันนี้ก็จำเป็นต้องทำเพื่อเป็นการลงทุนในอนาคตไปด้วย จากแทบไม่เคยมีผลการดำเนินการในโครงการใหญ่มาเลยนะครับ ในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าที่เราทำวันนี้ยังไม่เห็นผลในวันนี้ หลายคนอาจจะมองว่าเราลงทุนมากเกินไปหรือเปล่า "ขาดทุน" แต่เราต้องทำระยะยาวนะครับ ถึงจะเกิดผล ถ้าทำสั้นๆ เราก็ได้ผลตอบแทนน้อย ไม่มากนะครับ แต่ที่เราทำในวันนี้ ก็จะเป็น "กำไร" หรือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคต ประเทศชาติก็มีรายได้มากขึ้น กลับมาดูแลประชาชนได้มากยิ่งขึ้น พัฒนาประเทศได้มากยิ่งขึ้นนะครับ เช่น
(1) การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ในภาพรวมนะครับ ทั้งรถไฟความเร็วสูง โครงข่ายรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ การขยายท่าเรือ ท่าอากาศยาน และมอเตอร์เวย์ เป็นต้นนะครับ ระยะเร่งด่วนปี 2559 จำนวน 20 โครงการ 1.38 ล้านล้านบาท และแผนในปีนี้ จำนวน 36 โครงการ 8.95 แสนล้านบาทนะครับ
(2) โครงการอินเตอร์เน็ตประชารัฐระยะ 2 ปี 40,000 หมู่บ้านนะครับ เดิมก็มีประมาณ 30,000 กว่าหมู่บ้านนะครับ วันนี้ก็ต้องเพิ่มเติมนะครับ เอกชนก็ไม่ลงทุน เนื่องจากไม่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ แต่รัฐบาล เมื่อเราไปส่งเสริมเศรษฐกิจ แล้วนะครับ ก็ต้องมาเพิ่มเรืองดิจิตอลเข้าไปด้วยนะครับ เพื่อเสริมซึ่งกันและกัน ก็จำเป็นต้องลงทุนนะครับ รัฐบาล "ไม่สามารถทิ้งใครไว้ข้างหลัง" ได้อีกต่อไป และก็
(3) การส่งเสริมผู้ประกอบการ SME ทุกประเภท ในปี 2559 มีจำนวน 37 โครงการ วงเงิน 5,000 ล้านบาท มีผู้ประกอบการ SME ได้รับประโยชน์มากกว่า 2 แสนราย ซึ่งที่ผ่านมานั้น SME มีการฟื้นตัวได้ช้า เนื่องจากส่วนใหญ่ที่ผ่านมายังไม่แข็งแรงมากนัก, ฐานะทางการเงินไม่ดีนักนะครับ ขาดสภาพคล่อง ขาดมาตรการลดความเสี่ยงนะครับ แล้วก็มีอีกหลายปัจจัยด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผลิตสินค้าเดิมๆ ที่แข่งขันกับใครไม่ได้นะครับ, ไม่มีการสร้างนวัตกรรมสินค้าใหม่ๆ ออกมา, เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน, ขาดความรู้ ในการบริหาร ในการประกอบการ ความรู้ในด้านระบบบัญชี ระบบภาษี, ที่เรียกว่าการดำเนินการยังไม่เป็น "มืออาชีพ"
ปัจจุบัน รัฐบาลกำลังเร่งแก้ไข ฟื้นฟู สภาพเหล่านั้นให้ได้ ด้วยการจัดตั้งกองทุน หลายหมื่นล้านบาทนะครับ หลายประเภทด้วยกัน เพื่อจะฟื้นฟู ปรับปรุง SME sinvให้สามารถขยายกิจการเดิม ให้อยู่ต่อไปได้ โดยใช้ความรู้ต่างๆ ที่กล่าวไปแล้วนะครับ รวมทั้ง แสวงหาโอกาสเพื่อจะเข้าร่วมในห่วงโซ่เดียวกับสถานประกอบการขนาดใหญ่ ซึ่งก็เป็นปัญหาของ SME ไทยมายาวนานนะครับ ที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ และรัฐบาลนี้ก็ได้เข้ามาจัดระเบียบใหม่ทั้งหมด ก็คงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งนะครับ หลายสถานประกอบการก็ยังเข้าไม่ถึงดังกล่าว ก็เป็นระยะๆ ไปนะครับ ทุกคนก็ต้องปรับตัวเองด้วย
ก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปเลยนะครับ หรือมองว่ารัฐบาลนี้ ไม่แก้ไข ไม่ดูแล SMEs เข้าอีกนะครับ ยิ่งกว่านั้นปัญหาแบบนี้นะครับ ลักษณะใกล้เคียงกันแบบนี้ มีมากมายนะครับ เพราะอยู่กันมาท่ามกลางความไม่พร้อม ท่ามกลางการไม่มีการบริหารจัดการที่ดีนะครับ ก็เลยทำให้ทุกระบบของประเทศไทยค่อนข้างจะมีปัญหานะครับ ถ้าหากว่าเราลงรายละเอียดกันบ้าง หรือจริงจังกับการแก้ปัญหา ไม่ใช่เป็นการแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือการใช้จ่ายงบประมาณรัฐที่ไม่คุ้มค่า ก็แก้ ปัญหาเป็นปีๆ ไป ก็ไม่เกิดความยั่งยืน ไม่เกิดความต่อเนื่อง ฉะนั้นการแก้ปัญหาจำเป็นต้องแก้ปัญหาตลอดเวลานะครับ อย่างต่อเนื่องทุกสถานการณ์ ทุกห้วงเวลาที่มีกรเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ภายใน ภายนอกนะครับ
สำหรับเงินในระบบเศรษฐกิจฐานรากนะครับ ที่เรามองว่า ทำไมคนจนมากขึ้นหรือเปล่า ผมยอมรับนะครับว่าวันนี้อาจจะต้องน้อยลงเพราะว่าเงินจากธุรกิจ "สีเทาๆ" หรือสีดำที่ออกมาหมุนเวียนในพื้นที่น้อยลงนะครับ จากการปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายมากขึ้น
การจับกุมดำเนินคดีในการหลอกลวง ต่างๆ มากขึ้น คดีทุจริตต่างๆ ถูกนำเข้าพิจารณามากขึ้น เงินจำนวนนี้ก็หายไป ก็แน่นอนล่ะครับ มีคนจำนวนมากที่เคยได้รับประโยชน์ในเงินส่วนนี้ ต้องเกิดปัญหาแน่นอน เพราะมันเป็นเงินที่ผิดกฎหมายที่มาหมุนเวียนอยู่ในห่วงโซ่ ของการใช้จ่ายในภาคประชาชนนะครับก็แน่นอน ต้องลดลง ก็เดือดร้อน ก็อาจจะมองว่าเอ๊ะ รายได้ไม่ดีขึ้น หาการหางานทำยากนะครับ แต่ก็เป็นงานที่ผิดกฎหมาย ที่ผ่านมาก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวกันไปทำงานที่ถูกกฎหมายนะครับ อาจจะลำบากหน่อยในช่วงนี้
สำหรับการกำหนดทิศทางในการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศนั้น เราจำเป็น ต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์และ แนวโน้มของโลกในภาพรวมด้วย รัฐบาลนี้ ให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือ ในรูปแบบ "หุ้นส่วนยุทธศาสตร์" เพื่อเชื่อมโยง "ห่วงโซ่คุณค่า" และเพิ่มพลังในการขับเคลื่อนของทุกประเทศภาคีเครือข่าย ให้ "เข้มแข็งไปพร้อมๆ กัน" (Stronger together) นะครับ อาทิ...
แผนงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจ 3 ฝ่าย ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ที่เยกว่าIMT-GT นะครับ ก็ถือว่าเป็นอนุภูมิภาคที่สำคัญ ที่จะสนับสนุนบทบาทของประชาคมอาเซียน โดยมุ่งดำเนินการใน 3 ประเด็นหลักๆ คือ
(1) การสร้างความเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ ได้แก่ การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโกลก และ สะพานระหว่างเมืองรันเตาปันยัง อ.สุไหงโกลกแห่งที่ 2, โครงการทางหลวงพิเศษหาดใหญ่-สะเดา-สตูล-ปะลิส, และการสร้างรถไฟทางคู่, การพัฒนาท่าเรือสำราญที่กระบี่และสุราษฎร์ธานี, การจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าทุ่งสง และ การก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง เป็นต้น
(2) การปรับปรุงกฎระเบียบให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ได้แก่ ความตกลงด้านการขนส่งข้ามแดนระหว่างไทย-มาเลเซีย, การให้บริการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ รถบัสและ รถตู้บริการนักท่องเที่ยว การอำนวยความสะดวกด้านศุลกากรตรวจคนเข้าเมือง และตรวจโรคพืชและสัตว์ เป็นต้น รวมทั้ง
(3) การพัฒนาด้านนวัตกรรมในลักษณะเดียวกับนโยบาย "ไทยแลนด์ 4.0" ของเรา, การลงทุนโครงข่ายระบบข้อมูลสารสนเทศ, และ การพัฒนาเมืองสีเขียวที่ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ประหยัดพลังงาน และ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
ทั้งนี้ เพื่อเชื่อมโยงทางยุทธศาสตร์ระหว่าง 14 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย, กับ 8 รัฐของมาเลเซีย และ 10 จังหวัดในเกาะสุมาตรา ของอินโดนีเซีย กับห่วงโซ่มูลค่าในระดับอาเซียน รวมทั้ง ตลาดสำคัญในภูมิภาค และโลก อีกต่อไป
อีกทั้งการเชื่อมโยง (Connectivity) ของ 64 ประเทศ ทั้งในเอเชีย - แอฟริกา - ยุโรป รวมทั้งจีน ตามยุทธศาสตร์ One Belt , One Road นั้น (OBOR) ก็เพื่อจะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการพัฒนา เชื่อมโยง เครือข่ายคมนาคมและ โครงสร้างพื้นฐาน โดยโครงการรถไฟจีน – ไทย นั้นถือเป็น 1 ใน 10 โครงการสำคัญ ตามยุทธศาสตร์นี้นะครับ ซึ่งเราจะต้องเร่งดำเนินการ เป็นการเชื่อมโยงการขนส่งทางราง กับ เส้นทางรถไฟจีน - ลาวที่เป็นเส้นทางสำคัญ ในเครือข่ายระบบรางของเอเชีย (Pan-Asia Railway Network)
และ เส้นทางรถไฟสายด่วน จีน - ยุโรป ที่เป็นเส้นทางขนส่งผู้โดยสาร และสินค้า จากจีนสู่ยุโรป รวมทั้ง ส่งเสริมการถ่ายโอนด้านการลงทุน, ทรัพยากร, เทคโนโลยี และแรงงานที่มีทักษะ ในอนาคตอีกด้วย นะครับ ขอให้ช่วยกันสนับสนุนนะครับ ให้เกิดขึ้นให้ได้โดยเร็ว อย่ามัวคัดค้านกันอยู่เลยนะครับ เสียเวลานะครับ
3. การเพิ่มประสิทธิภาพของภาครัฐ มีประเด็นสำคัญๆ ที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ ได้แก่ (1) การป้องกันการทุจริตโดยได้ผลักดัน พ.ร.บ. การอำนวยความสะดวก ในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 และ พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เป็นต้น
(2) การส่งเสริมและการอำนวยความสะดวก ในการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ของประชาชน ภาคธุรกิจ และภาครัฐ โดยวางโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (e-Payment) รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายด้านการเงินการคลัง เช่น ร่าง พ.ร.บ. ระบบการชำระเงิน, ร่าง พ.ร.บ. วินัยการคลังของรัฐ และ กฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ เป็นต้น รวมทั้ง ได้มีการเพิ่มเติมนะครับ
(3) ก็คือการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เช่น ความยาก-ง่ายของการประกอบธุรกิจในประเทศไทย และการอำนวยความสะดวกในการนำเข้าและส่งออก โดยเร่งรัดโครงการ National Single Window (NSW) นะครับ ให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ภายในปลายปี 2561 ซึ่งจะมีความพร้อมรองรับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต
รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการ ให้สามารถลดขั้นตอน ด้วยการการบันทึกข้อมูลเพียงครั้งเดียว แล้วสามารถนำข้อมูลดังกล่าวนั้นไปจัดทำใบอนุญาต - ใบแจ้งการนำเข้าส่งออกสินค้า พร้อมทั้ง สามารถส่งข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทันที เป็นต้น
นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลภาครัฐ เช่น โครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) ซึ่งเน้นการจัดหาบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ และสมรรถนะสูง เข้ามาสู่ระบบราชการ โดยได้รับการพัฒนาและการศึกษาอบรม อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ด้วยการทำงานจริง
พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการสร้างแรงจูงใจ การให้ค่าตอบแทน และสิทธิประโยชน์ ให้เหมาะสมกับลักษณะของงานและความเชี่ยวชาญ ในทุกระดับ ทั้งนี้ เป็นแนวทางการบริหารจัดการข้าราชการรุ่นใหม่ เพื่อรองรับการปฏิรูประบบราชการไทย ในอนาคต สอดคล้องกับการปฏิบัติงานใน “ยุคดิจิทัล” และตามนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” ด้วย
ในเรื่องของการนำบุคคลภายนอกทั้งภาคเอกชน ธุรกิจ หรือบุคคลากรทางการศึกษา จากในประเทศและต่างประเทศ มาช่วยในการปฏิรูป ก็เป็นการทำในชวงเวลาจำกัดนะครับ ในสิ่งที่เราพัฒนาเห็นได้ช้า อาจจะต้องมีบุคคลากรภายนอกมาเสริม เรามีบุคคลากรของไทยอยู่แล้วนะครับ แต่อาจจะมีน้อยในบางสาขา เราก็จำเป็นนะครับ เพื่อให้เขามาถ่ายทอด เอาเขามาเร่งพัฒนาของเรา ถ่ายทอวชาความรู้ เทคโนโลยีต่างๆ เมื่อของเราเข้มแข็งแล้ว ของเขาก็หมดความจำเป็นไป ในวันหน้าเราก็ไม่ต้องพึ่งใครมากนัก
ผมอยากให้ทุกคนคิดกันแบบนี้นะครับ ถ้าเราปิดกั้นตัวเราเองไม่เปิดในให้กว้าง ทุกอย่างมันก็เดินหน้าไม่ได้เร็วอย่างที่เราต้องการนะครับ เราต้องพาคนมาช่วยมากๆ เยอะๆ แต่เราก็ต้องมีมาตรการที่จะทำอย่างไรไม่ให้คนของเรานั้นเสียเปรียบ เสียประโยชน์ของชาตินะครับ อันนี้รัฐบาลระมัดระวังอย่างเต็มที่ ขอให้ทุกคนคิดอย่างมีวิสัยทัศน์ นะครับ
สำหรับกลไก “ประชารัฐ” นั้นมันก็เป็นอีกแนวทางหนึ่ง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภาครัฐ ได้เป็นอย่างดี ตัวอย่าง “พีพี โมเดล” ที่เรียกว่า แผนพัฒนาฟื้นฟูหมู่เกาะพีพี จากที่เก็บรายได้ เพียง 1 ล้านบาทต่อปี จนสามารถนำหลายได้เข้าประเทศ นับ “พันล้านบาท” ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของข้าราชการ ให้มีวิสัยทัศน์ – รู้จริง – ที่สำคัญคือโปร่งใส ไม่ให้มีการทุจริต ภายใต้การร่วมมือกับภาคเอกชน, ชุมชน และนักอนุรักษ์ธรรมชาติ
ทั้งนี้ ปัจจุบัน “อุทยานหาดนพรัตน์ธารา” หมู่เกาะพีพีแห่งเดียว สามารถทำเงินได้ ร้อยละ 20 จากอุทยาน 149 แห่ง “ทั้งประเทศ” นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ถ้าทุกอุทยานทำแบบนี้ได้ ทุกอย่างก็จะดีขึ้นตามลำดับ และถ้าหน่วยงานภาครัฐได้รับการเพิ่มเติมศักยภาพ และเติมเต็มด้วยกลไกประชารัฐแล้ว ประเทศของเราก็จะสามารถขับเคลื่อนก้าวข้ามกับดักต่างๆ ได้เป็นอย่างดี นะครับ
และ 4. การส่งเสริมหลักนิติรัฐ – นิติธรรม ในสังคมไทย ซึ่งให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ – ผู้ใช้อำนาจรัฐ – และการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน โดยกฎหมายที่ดี ต้องชัดเจน ต้องมีเหตุมีผล ต้องปฏิบัติได้ ต้องนำไปสู่ความยุติธรรม ขจัดความขัดแย้ง ทั้งในเชิงรูปแบบและเนื้อหา
โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้พิจารณาร่างกฎหมายไปแล้ว 401 ฉบับ และมีผลใช้บังคับแล้วมีจำนวน 230 ฉบับ ประกอบด้วย การผลักดันกฎหมายใหม่ที่จำเป็น, ปรับปรุงกฎหมายเดิมที่ล้าสมัย และยกเครื่องกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ทั้งกฎหมายด้านเศรษฐกิจ, กฎหมายตามพันธกรณีระหว่างประเทศ, กฎหมายลดความเหลื่อมล้ำ, กฎหมายเกี่ยวกับสวัสดิการและมนุษยธรรม และกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาสังคม ตลอดจนในเรื่องของการรักษาความสงบเรียบร้อย เป็นต้น
ทั้งนี้ นอกจาก “ความร่วมมือ” กับรัฐบาลในทุกๆ นโยบายแล้ว “การเคารพและปฏิบัติตาม” กฎหมาย – ระเบียบ – ข้อบังคับทั้งปวง ก็มีส่วนสำคัญ ช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพ โดยปัญหาของประเทศที่ผ่านมา และสะสมจนถึงทุกวันนี้ มักเกิดจากความไม่เข้าใจ จึงไม่ร่วมมือ และการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว จนมองข้ามผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ นำไปสู่การละเมิดกฎหมาย
ปัจจุบัน หลายโครงการ หลายนโยบายสาธารณะของรัฐบาล กำลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง หากทุกคนเข้าใจธรรมะง่ายๆ ที่ว่า “หิริโอตตัปปะ” คือ ความละอายต่อบาป และความกลัวต่อผลของความชั่วแล้ว ก็จะช่วยให้สังคมของเราน่าอยู่ ยิ่งๆ ขึ้น นะครับ
พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ
มีอีกหลายประเด็น ที่ผมอยากให้ช่วยกันทบทวน ลองขบคิดดูว่า สิ่งที่ “บางคน” คิดดังๆ ออกสื่อฯ นั้น อยู่บนพื้นฐานหลักการและเหตุผล ที่ถูกที่ควร หรือไม่ อย่างไร เช่น ...
หลายคนมักพูดติดปากว่า “รัฐบาลและ คสช. จำกัดเสรีภาพ” คงต้องทำความเข้าใจกันใหม่ ให้ถ่องแท้
อันนี้คงจะไม่ไปพูดถึงการละเมิดสถาบันซึ่งยังมีอยู่ บุคคลธรรมดาก็เราก็ยังมีกฎหมาย ในเรื่องของการฟ้องหมิ่นประมาท แต่เราก็ยังต้องดูแลสถาบันนะครับ ที่เคารพศรัทธาของคนไทย กฎหมายฉบับนั้นมีไว้เพื่อปกป้องสถาบัน แล้วพระองค์ท่านก็ปกป้องพระองค์เองไม่ได้ ฉะนั้นสถาบันก็มีแต่พระเมตตามาโดยตลอด มีการลดโทษให้ มีการนิรโทษให้ตลอดมา ท่านปกป้องพระองค์เองไม่ได้นะครับ
ก็หลายคนก็เคยตัวนะครับ วันนี้มันเป็นหน้าที่ของปวงชนชาวไทยทุกคนนะครับ อย่าปล่อยให้เป็นภาระของเจ้าหน้าที่เลยครับ อย่าแชร์ อย่าแพร่ มันผิดกฎหมายมาแล้วก็เป็นปัญหาอีกนะครับ
เพราะฉะนั้นเราต้องแยกให้ออกครับ เช่น ประเด็นของเสรีภาพในที่ต่างๆ ที่ว่ามานั้นน่ะ การเดินขบวน – สร้างความวุ่นวาย – การปราศรัยที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาท หมิ่นสถาบัน โดยการขาดการตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้อง ไร้ความน่าเชื่อถือนั้น
เพราะว่า นอกจากจะเป็นการละเมิดกฎหมาย – ละเมิดสิทธิผู้อื่นแล้ว ยังกีดขวางการจราจร กีดขวางการใช้รถ ใช้ถนน โดยเฉพาะการใช้พื้นที่สาธารณะเพื่อการชุมนุมลักษณะดังกล่าว หากไม่มีการขออนุญาตล่วงหน้า ก็ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายนะครับ กฎหมายออกมาแล้ว มันต้องมีกำหนดเวลา มีจำนวน มีสาเหตุประเด็น นะครับ ทั้งหมดมันต้องมีกติกา
อย่าไปมองรัฐธรรมนูญอย่างเดียวว่าทุกคนมีสิทธิโน่นสิทธินี่ แต่กฎหมายอื่นๆ มันมีข้างล่างหลายตัว จะมาอ้างอันโน้นอันเดียว มาทับอันล่าง งั้นข้างล่างก็ไม่ต้องมีกฎหมายหรอกครับถ้าแบบนั้นอ้ะนะ เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่แล้ว ที่มีปัญหาทุกวันนี้ มันเป็นการดำเนินการที่มี “เบื้องหน้า – เบื้องหลัง”ทั้งสิ้นนะครับ หวังผลทางการเมืองด้วย อาจเดือดร้อนจริง แต่ก็มีการเมืองมาใช้ประโยชน์ด้วย นำความเดือดร้อนของประชาชนมาเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ในการสร้างความชอบธรรมทำนองเนี้ยนะครับ เพราะฉะนั้นลักษณะเช่นนี้ ท่านจะอ้างประชาธิปไตย อ้างสิทธิเสรีภาพ อ้างรัฐธรรมนูญต่างๆ แล้วเราไปปิดกั้นมัน คงไม่ถูก นะครับ
ช่องทางที่ทุคนจะแสดงความคิดเห็นได้ รัฐบาลก็ได้ทำให้แล้วนะครับ อาทิเช่น ศูนย์ดำรงธรรม (สายด่วน 1567) หรือศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ (สายด่วน 1111) ซึ่งทุกคนก็สามารถแจ้งเบาะแสการกระทำผิดกฎหมาย และเสนอข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ คำติชม ได้ด้วยตนเอง อย่าทำอะไรให้เสียภาพลักษณ์ เสียความน่าเชื่อถือของบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง ในสายตาชาวต่างชาติอีกเลย บางคนก็เอาไปขยายความให้ต่างชาติมาโจมตีประเทศไทย ไม่รู้เป็นคนไทยหรือเปล่านะครับ เพราะจะเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ให้แย่ลง อยากให้พี่น้องประชาชนลองคิดตามดู ว่าสิ่งเหล่านี้ “สมควร” หรือไม่ คนเหล่านี้กำลังคิดอะไรอยู่ มีความบริสุทธิ์ใจหรือไม่
นักกฎหมาย – อดีตรัฐบาล นักการเมืองบางคน ออกมากดดันให้รัฐบาล และ คสช.ทำโน่น ทำนี่ ที่ผ่านมาปัญหามันเยอะแยะ ก็ไม่ได้ทำไม่ได้แก้ไขกันมาก่อน แล้วก็คิดได้ตอนนี้นะครับ แล้วก็มาไล่รัฐบาลนี้ให้ทำ แล้ววันหน้าเดี๋ยวถ้าไม่มีใครทำนะครับ ผมก็ก็คงจะทำเริ่มไว้ให้แล้ววันนั้นท่านมีอำนาจหน้าที่เข้ามาทำใหม่แล้วกัน ให้ประชาชนเขาตรวจสอบ ติดตามดูบ้างนะครับ
ฉะนั้นทุกคนน่าจะเปลี่ยนแนวคิด พัฒนาตัวเองกันบ้างในขณะนี้ ลองมาช่วยกันทำอะไรที่สร้างสรรค์ เช่น ชี้ประเด็นปัญหา – จุดอ่อน ประสบการณืที่ทำมาแล้วเจอ แล้วพบ แล้วถ้าแก้ไม่ได้ แล้วท่านมาทำให้ผมแก้ให้ได้ ด้วยวิธีการที่เหมาะสม ผมรับได้หมดนะครับ ให้มีการรับฟังความคิดเห็น ขอให้เสนอแนะแนวทางในทัศนะของท่านมา แต่อย่ามาโจมตีผมว่าผมทำโน่นทำนี่อะไรทำนองนี้ มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าปัจจุบันที่เขาทำกันมานะครับ เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นว่า ท่านมีแนวทางบริหารจัดการปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไรทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต และโดยเฉพะอย่างยิ่งเมื่อท่านได้รับการเลือกตั้งมาในวันหน้าถ้าหากได้เป็นรัฐบาลนะครับ
อีกตัวอย่าง เรื่อง “ความมั่นคงทางไซเบอร์” อยากให้ช่วยกันพิจารณาถึงข้อดี – ข้อเสีย “ชั่งน้ำหนัก” ถึงผลกระทบ – อันตรายให้รอบคอบ ไม่มีอะไร ได้มาเปล่าๆ หากทุกคนต้องการ “ความปลอดภัยสูงขึ้น” ก็ต้องแลกด้วย “เสรีภาพที่ลดลง” เสรีภาพที่ทุกคนต้องยอมรับ ว่ามันควรจะมีแค่ไหนอย่างไร ทุกประเทศในโลกก็มีเช่นนี้แหละครับ เสรีภาพที่ต้องจำกัดให้อยู่ในกรอบ ไม่ไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เป็นไปตามกฎหมาย เพราะว่าถ้าทุกคนต้องการ จะเอาทุกอย่าง ไม่มีใครทำอะไรได้ ทั้งสิ้น
วุ่นวาย ป้องกันตัวเองก็ไม่ได้ ป้องกันองค์กรก็ไม่ได้ ให้ปลอดภัยจากการถูกโจมตี หรือการละเมิดมาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ทุกคนก็ต้องมีวินัย และปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ที่วางเอาไว้ โดยเริ่มจากตนเองก่อนเสมอ ไม่ใช่พอมีปัญหา ก็โทษเจ้าหน้าที่ไม่เอาใจใส่ กฎหมายมีแต่ไม่ปฏิบัติ แบบนี้มันก็แก้อะไรไม่ได้หรอก ต้องบังคับให้ถูกต้อง ต้องช่วยกัน ร่วมมือกันนะครับ
สำหรับในการเดินทางลงพื้นที่ เพื่อตรวจราชการและติดตามความคืบหน้า การดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ณ จว.สงขลา เมื่อวันพุธที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชน, ข้าราชการ, ผู้บริหาร คณาจารย์ นักวิจัย บุคลากร และนักศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รวมทั้งผู้ประกอบการและผู้แทนภาคเอกชน ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
ที่สำคัญคือ การให้ความร่วมมือ ในการดำเนินการต่างๆ ตามนโยบายรัฐบาล จนประสบความสำเร็จ เป็นรูปธรรมอาทิ การขับเคลื่อน “ไทยแลนด์ 4.0” ในภาคใต้ ด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ จนหลายผลงานได้นำไปสู่การสร้างมูลค่าในเชิงพาณิชย์แล้ว, การส่งเสริมและช่วยเหลือ SMEs ตามโครงการ “คลินิกสัญจรแนวประชารัฐ”
ที่มุ่งพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ซึ่งเป็นเศรษฐกิจฐานราก เพื่อนำไปสู่การยกระดับรายได้ และคุณภาพชีวิต ของประชาชนและชุมชน รวมทั้ง “ตลาดเกษตร มอ.” ที่อาจมีแนวทางแตกต่างจาก “ตลาดคลองผดุง – ตลาดชุมชน” ของรัฐบาล แต่มีความมุ่งหมายเดียวกัน ในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากและชุมชน ซึ่งนับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดี เหล่านี้เป็นต้น ครับ
หลายอย่างที่เป็นผลงานวิจัย ผมขอสั่งการให้ทุกหน่วยงานทุกกระทรวงให้ความสนใจนะครับ สนับสนุนการผลิต การใช้งาน อันนั้นต้องช่วยกันส่งเสริม ช่วยกันใช้ ช่วยกันผลิตให้มันเป็นของไทย หลายอยางที่ผมเห็นเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกี่ยวกับด้านการเกษตร เกี่ยวกับดิจิตอล เกี่ยวกับเรื่องของการสาธารณสุข
ประเด็นเพิ่มเติมของผม คือ ผมสังเกตนะครับในการนำเสนอข่าวการลงพื้นที่ต่างๆเพื่อตรวจราชการ ในแต่ละครั้ง ไม่อยากให้เป็นเพียงการนำเสนอภาพ การปาฐกถา, ภาพผม ภาพรัฐมนตรีเดินชมนิทรรศการ นี่โน่น นะครับ หรือการมอบทุน – รางวัล ผมอยากให้เอา เอา หรือเอาภาพของนายกรัฐมนตรี อย่างเมื่อวันก่อนนะครับ ครั้งที่แล้วเนี่ยไปออกกำลังกายกับประชาชนที่เค้าอยู่ในตลาด ที่ทำทุกวันพุธนั่นแหละ ผมไปพอดี เขาก็เชิญผมไปออกกำลังกาย ก็เอาภาพนี้มาออกกัน ไม่ได้มองว่าผมไปตลาดทำอะไรไง ไปเยี่ยมประชาชน เขาค้าขาย ให้กำลังใจเขาไปดูตลาดประชาชนเขา ของมอ.เขาทำได้เป็นอย่างดี กลายเป็นว่าเอาผมไปเป็นเรื่องสนุกสนาน ขำขันกันไป
ขอให้สนใจในการนำเสนอข่าวที่เป็น “สาระสำคัญ” ด้วยนะครับในการนำเสนอควรจะมีวัตถุประสงค์ของการเยี่ยมเยือน มีหลักการอย่างไร, มีวิธีการปฏิบัติอย่างไร, ใครบ้าง , แนวทางการดำเนินงาน, ผลประโยชน์ที่จะได้รับ, ใครที่จะได้รับจากกิจกรรมเหล่านั้น ผมได้รับฟังความคิดเห็น ปัญหาใครมาบ้าง แล้วผมได้พูดอย่างไร ผมแก้ปัญหาอย่างไร พูดทุกเรื่องแต่ออกมา เป็นเรื่องผมออกกำลังกายอย่างเดียวเป็นหลักนะครับ ผมดูแล้วมันไม่ได้สาระนะ
เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมผมมุ่งหวังว่า “องค์ความรู้” ดังกล่าวนั้น จะก่อให้เกิด “ปัญญา” หมายถึง การรับรู้ เข้าใจ ร่วมมือ หรือสามารถนำไปต่อยอด สามารถดำเนินการได้เอง ในชุมชน ในท้องถิ่นของตนเอง ผมอยากให้เสนอข่าวแบบนี้
ในความเป็นจริงนั้น ผมยอมรับนะครับ เราต้องยอมรับว่า ในความเป็นจริง กลไกการประชาสัมพันธ์ของภาครัฐ ไม่อาจมีความสมบูรณ์แบบได้หรอกนะครับ หลายคนก็ติติงขึ้นมา เพราะเป็นข้าราชการ ถ้าหากว่ามันปราศจากการเติมเต็มจาก “สื่อมวลชนทุกแขนง” เราไม่สามารถจะทำได้ ครบถ้วนหรอกนะครับ เพราะฉะนั้นเพียงแต่ว่าเราเริ่มมีข้อมูลให้ ท่านก็เอาไปช่วยขยายให้หน่อย สงสัยอะไรก็ถามมาในประเด็นที่เป็นประโยชน์นะ
อันนี้ก็ ถ้าเราสามารถที่จะร่วมมือกันได้นะครับ มันก็จะเป็นการดีมากยิ่งขึ้น รัฐบาลทำไม่ได้ทั้งหมดหรอกครับ ถึงแม้ว่าเราจะมีช่องทางการสื่อสารของหลักของรัฐบาล คนไม่ดูซะอย่างก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน บังคับไม่ได้ เพราะมันออกอากาศไปไง ฉะนั้น เครื่องมือและสื่อรูปแบบต่างๆ ของโฆษกรัฐบาล – โฆษกกระทรวง, กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ก็ได้มีการออกอากาศ หรือทำงานมาโดยตลอดนะครับ มีเสียงตามสาย, วิทยุชุมชน และหอกระจายข่าวที่เป็น “เซลล์” เล็กๆ ในงานประชาสัมพันธ์ “เสียงแห่งความหวังดี” ของภาครัฐ ถึงหูพี่น้องประชาชนอย่างทั่วถึง
แต่ที่ผ่านมา ยังมีอุปสรรคในเรื่องระเบียบข้อบังคบด้านงบประมาณและการบริหารจัดการ ซึ่งเราทำเองไม่ได้และกฎหมายไม่ได้เปิดช่อง มันก็ต้องอาศัยพึ่งพวกเรานะครับ ในเรื่องต่างๆ รัฐบาลและ คสช. กำลังหาแนวทางขจัดปัญหาดังกล่าว พร้อมทั้งจะส่งเสริมศักยภาพ “เซลล์เล็กๆ ทั่วประเทศ” เหล่านั้น เชื่อมโยงเข้ากับ “เครือข่ายประชาสัมพันธ์ภาครัฐ” เพื่อให้พี่น้องประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐอย่างเท่าเทียม “ไม่ตกข่าว – ไม่ตกสำรวจ” จนเสียสิทธิประโยชน์อันพึงได้-พึงมี นะครับ อย่างเช่นที่ผ่านมา
พี่น้องประชาชน ครับ ผมมีเรื่องที่เป็นการสร้างความภูมิใจและชื่นใจให้กับประเทศไทยของเรา คือ เมื่อวันศุกร์ที่ 19 พ.ค. 60 ที่ผ่านมา นักเรียนไทยสามารถไปคว้ารางวัลสำคัญในการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมระดับโลก ที่นครลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ถือเป็นกิจกรรมวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ มีนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ กว่า 1,800 คน จาก 77 ประเทศเข้าร่วมการแข่งขัน โดยนักเรียนไทยได้รับรางวัลจากเวทีนี้ถึง 3 รางวัล ได้แก่
(1) สาขาสัตวศาสตร์ คือโครงงาน “การย่อยสลายโฟมโดยตัวอ่อนแมลงปีกแข็ง” ซึ่งจะทำให้เกิดกระบวนการย่อยสลายแบบชีวภาพและไม่สร้างมลพิษในระหว่างการย่อยสลาย เป็นผลงานของนางสาวนุชวรา มูลแก้ว และนางสาวจิตรานุช ไชยราช นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จากโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จังหวัดลำปาง
(2) สาขาเคมี จากโครงงาน “การพัฒนาเซลล์สารกึ่งตัวนำสำหรับกำจัดสีย้อมอุตสาหกรรม” ซึ่งการกำจัดสีย้อมในปัจจุบัน ทำได้ยากและมีต้นทุนสูง กระบวนการนี้ จะทำให้ประสิทธิภาพในการกำจัดสีย้อมสูงขึ้น สามารถใช้งานซ้ำใหม่ได้ และยังเป็นการใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานทดแทนได้อีกด้วย เป็นผลงานของนางสาวปรียาภรณ์ กันดี, นางสาวณิชากรณ์ เขียวขำ และนางสาวพิมพ์โพยม สุดเจริญ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จากโรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จังหวัดปทุมธานี
และ (3) รางวัลสเปเชี่ยล อวอร์ด ด้านนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน สาขาพืชศาสตร์ จากโครงงาน “สารชีวภาพของสารสกัดหยาบจากหญ้าสาบแร้ง ในการควบคุมสาเหตุวงจรการเกิดโรคใบหงิกในมะเขือเทศพันธุ์สีดา” ซึ่งจะช่วยชะลอการแสดงอาการของโรค และกำจัดแมลงหวี่ขาว ที่เป็นพาหะของโรค และกำจัดวัชพืชได้ด้วย ที่สำคัญ เป็นการลดการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช จึงจะช่วยลดต้นทุนและอันตรายจากสารเคมีที่จะเกิดต่อตนเองและสิ่งแวดล้อมได้ เป็นผลงานของนางสาวนฤภร แพงมา, นางสาวจรรยพร โกฏิมนัสวนิขย์ และนายวิชชากร นันทัยเกื้อกูล นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาขอนแก่น ฝ่ายมัธยมศึกษา (มอดินแดง)
รางวัลที่เยาวชนไทยได้รับมาในครั้งนี้ แสดงถึงความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ของคนไทย ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เป็นที่เชิดหน้าชูตาให้กับประเทศของเรา ผมขอชื่นชมในความสามารถ ความเพียรพยายาม และความทุ่มเท ของเยาวชนและคณาจารย์ ทุกท่าน ที่ได้ร่วมกันสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศของเรา และหวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับเยาวชนไทยทั้งประเทศอีกด้วย
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เยาวชนและบุคลากรของประเทศ มีพัฒนาการด้านวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่อง ผมได้สั่งการให้กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ พิจารณาแนวทางการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรม ในระดับโรงเรียนให้เข้มข้นขึ้น และนำมาไปใช้ได้จริงมากขึ้น
อีกทั้ง ให้รวบรวมผลงานของนักเรียน ที่ได้รับรองคุณภาพ มาเผยแพร่ – ขยายผล เป็นกรณีศึกษา ให้เยาวชนอื่นๆ เข้าถึงได้ง่าย รวมทั้ง นำผลงานไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างรายได้ และยกระดับขีดความสามารถในการผลิต และในการแข่งขันของประเทศด้วย
เนื่องจากที่ผ่านๆ มา น่าเสียดายที่ผลงานวิจัยเหล่านี้ ต้องกลายเป็น “งานวิจัยขึ้นหิ้ง” จริงๆเค้าก็ไม่อยากจะขึ้นนะครับ ทีนี้ไม่มีใครนำไปทำต่อก็ต้องเก็บไว้ในหิ้งก่อน วันนี้ก็ต้องเอามาจากิ้งเอามาทำ แล้วก็คิดใหม่ขึ้นมา แล้วก็เอามาทำต่อ
ปัจจุบัน เราจำเป็นต้องมีการผลักดันให้เกิดการสร้าง “นวัตกรรม” โดยลดการนำเข้าและเพิ่มการส่งออก เพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศ ทั้งนี้ รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนานวัตกรรม และตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนค่าใช้จ่าย ในการวิจัยและพัฒนาของประเทศ ให้อยู่ที่ร้อยละ 1 ของ GDP และเร่งการลงทุนภาครัฐ เพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมด้วย ครับ
หนึ่งในกิจกรรมของภาครัฐ เพื่อสนับสนุนเรื่องนี้ ก็คือ การจัดทำบัญชีนวัตกรรมไทย เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนนวัตกรรมไทย อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นช่องทางให้นักวิจัย สามารถนำผลงานวิจัยมาขึ้นบัญชี เพื่อรับการส่งเสริมจากภาครัฐ ปัจจุบัน มีบัญชีนวัตกรรมไทย ทั้งสิ้น 14 ประเภท เช่น การเกษตร, การศึกษา, วิทยาศาสตร์, การแพทย์, ก่อสร้าง, ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และโทรคมนาคม, ยานพาหนะและขนส่ง, อาวุธยุทโธปกรณ์ด้านความมั่นคง เป็นต้น
โดยมีการยื่นแบบขอขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทยแล้ว 201 รายการ โดยผ่านกระบวนการและประกาศขึ้นทะเบียนแล้ว 56 รายการ ครับ ซึ่งก็คงจะต้องมีมาตรฐานต่างๆด้วยนะครับ หลายอย่าง ถึงไม่ด้มีกำหนดมาตรฐานไว้เดิม ก็ต้องเอาภาคเอกชนต่างๆมาช่วยกันคิด หน่วยงานทางการศึกษานะครับ ภาคเอกชนมาช่วยกัน กำหนดมาตรฐานทางอุตสาหกรรมนะครับ แม้กระทั่งเรื่องของอย. (องค์การอาหารและยา) มาช่วยหน่วยงานของรัฐในการที่จะทำอะไรต่างๆ ให้มันเร็วขึ้น ช อะไรต่างๆ มาช่วยกันนะครับการ )ถ้าช้ามันก็หมดกำลังใจนะครับคนคิด ก็ไม่อยากจะคิดเพราะไม่ได้มีคนนำไปใช้ประโยชน์ ทั้งที่มีประโยชน์มากมาย
สำหรับสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับในการขึ้นทะเบียนในบัญชีนวัตกรรมนั้น มีตั้งแต่การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับค่าใช้จ่ายด้านการวิจัย พัฒนา เทคโนโลยี และนวัตกรรม ร้อยละ 300 การได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอื่น ๆ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐสามารถจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่อยู่ในบัญชีนี้โดยวิธีพิเศษได้ด้วย สำหรับในภาพรวมของประเทศ บัญชีนวัตกรรมจะช่วยกระตุ้นการพัฒนานวัตกรรม เพื่อรองรับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการผลิตผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นนวัตกรรม เพื่อนำมาผลิตเชิงพาณิชย์อย่างมีมาตรฐาน สร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงขึ้น ช่วยลดการนำเข้าสินค้าราคาแพง ลดการพึ่งพาแรงงานและทรัพยากรที่เริ่มมีจำกัด ซึ่งจะเป็นอีกก้าวในการเข้าสู่ยุค 4.0 ของประเทศ นะครับ
ผมก็สั่งการไปยังกระทรวงสาธารณสุขนะครับ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในเรื่องของการใช้ยาหรือเครื่องมือทางการแพทย์ ขอให้ใช้สิ่งที่ผลิตได้ในประเทศไทยเป็นหลักก่อนนะครับต่อไปนี้ผมจะติดตาม ในการงบป ะมาณในเรื่องนี้เพราะว่ามันมีผลกระทบกับเรื่องค่าใช้จ่ายบัตรทอง ด้วยนะครับ เพราะเราผลิตทุกอย่างมีคุณภาพ ผ่านมาตรฐาน มันก็ใช้ได้เหมือนกัน ราคามันถูกกว่าตั้งหลายเท่า ต้องซื้อตรงนี้นะครับ เอาไปใช้จ่ายทุกโรงพยาบาล
ในภาวะที่การค้าไทยเผชิญกับความท้าทาย ภายใต้สถานการณ์การค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นอกจากการนำนวัตกรรมมาช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยแล้ว เราต้องปรับตัวในการเร่งสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนให้กับประเทศในทุกๆ ด้าน
กระทรวงพาณิชย์ ได้บูรณาการร่วมกับ กระทรวงอุตสาหกรรมที่สนับสนุนการผลิตที่ดูแลสิ่งแวดล้อม และกระทรวงแรงงานที่มุ่งยกระดับมาตรฐานแรงงานไทย ในการพิจารณาให้ตราสัญลักษณ์ Thailand Trust Mark (T Mark) เพื่อรับรองสินค้าและบริการ ว่าเป็นผลิตผลจากประเทศไทย มีคุณภาพเชื่อถือได้ มีกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพ และภาพลักษณ์องค์กรที่ดี ทั้งการคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม มีธรรมาภิบาล และมีการคุ้มครองแรงงานอย่างเป็นธรรม
เพื่อเสริมความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ซื้อ รวมทั้งผู้บริโภคชาวต่างชาติ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในแข่งขันของผู้ประกอบการและยกระดับเศรษฐกิจของประเทศเพื่อก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางอย่างยั่งยืนได้
สำหรับเรื่องราคาผลผลิตทางการเกษตร กระทรวงพาณิช์กำลังพิจารณา ออกมาตรการดูแลอยู่นะครับอย่างเช่นเรื่องมันสำปะหลัง มันก็มีทั้งขาดทั้งเกินนะครับ ในบางครั้งก็ไม่พอนะครับ ทำให้ราคาตก เพราะว่าต้องมีการนำเข้าทดแทน เพื่อจะมาทำอาหารสัตว์ ในช่วงที่เรายังผลิตไม่พอ มันเป็นเรื่องที่ต้องแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง ก็ขอให้ทุกคนได้ร่วมมือกันนะครับ
ปัจจุบัน มีบริษัทผลิตสินค้าและบริการของไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์ T MARK จำนวน 721 บริษัท แบ่งเป็นประเภทสินค้า ได้แก่ กลุ่มอาหาร อุตสาหกรรมหนัก ไลฟ์สไตล์ แฟชั่นทั่วไป ส่วนประเภทธุรกิจได้แก่ บริการกลุ่มส่งเสริมสุขภาพ การศึกษานานาชาติ และธุรกิจบริการรักษาพยาบาล
ซึ่งตราสัญลักษณ์นี้ นอกจากจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ของประเทศที่เป็นผู้ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากลแล้ว ยังก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่เศรษฐกิจของประเทศไทยในหลากหลายประการ ทั้งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงเป็นโอกาสที่สำคัญในการเพิ่มบทบาททางการค้าของไทยในเวทีโลกอีกด้วย
พี่น้อประชาชนที่รักทุกท่านครับ รัฐบาลและ คสช. ยืนยันว่า การเป็นประชาธิปไตยของไทย จะต้องไม่เป็นประชาธิปไตยที่ล้มเหลว จะต้องเป็นประชาธิปไตย ที่มีรัฐบาลซึ่งยึดมั่นใน “หลักธรรมาภิบาล” นำพาให้ชาติ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ภายใต้ศาสตร์พระราชาให้ได้ โดยผมอยากฝากประเด็นคำถามไว้ 4 ข้อ เพื่อรับทราบความคิดเห็นของพี่น้องประชาชน และนำมาพิจารณาแนวทางการทำงานต่อไป คือ
(1) ท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่
(2) หากไม่ได้ จะทำอย่างไร
(3) การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งอย่างเดียวที่ไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศ และเรื่องอื่นๆ เช่น ประเทศชาติจะมียุทธศาสตร์และการปฏิรูปหรือไม่นั้น ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง และ
(4) ท่านคิดว่า กลุ่มนักการเมือง ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในทุกกรณี ควรจะมีโอกาสเข้ามาสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่ หากเข้ามาได้อีก เกิดปัญหาอีก แล้วจะให้ใครแก้ไข และแก้ไขด้วยวิธีอะไร ขอให้ส่งคำตอบ และความคิดเห็น มาทางศูนย์ดำรงธรรมในทุกจังหวัด แล้วให้กระทรวงมหาดไทยรวมรวมส่งมาผมยินดีรับฟังนะครับ
สุดท้ายนี้ ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าช่วงนี้ ประเทศไทยจะมีฝนตกเพิ่มขึ้น ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ ขอให้ประชาชนทั่วไป เกษตรกร และชาวประมง ได้ติดตามข่าวสาร, การแจ้งเตือนภัย และ ปฏิบัติตามคำแนะนำด้วย
ในส่วนของรัฐบาล นอกจากต้องบริหารจัดการน้ำ ไม่ให้เกิดอุทกภัย และมีน้ำเหลือเก็บไว้ใช้ต่อในอนาคตได้ด้วย โดยให้ทุกหน่วยงานเตรียมเครื่องจักร เครื่องมือ และติดตั้งเครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ ในจุดที่มักจะเกิดปัญหาน้ำท่วมเป็นประจำ มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมที่จะเข้าไปสนับสนุนช่วยเหลือประชาชนหากเกิดสถานการณ์น้ำท่วมได้ อย่างทันท่วงที
ในกรุงเทพมหานครก็เช่นเดียวกัน ผมได้สั่งการกับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ไปแล้วนะครับ ให้ทุกเขตจัดเจ้าหน้าที่ต่างๆ เข้าเยี่ยมเยือน ตรจวเยี่ยม ทุกพื้นที่ที่มีฝนตก หรือก่อนฝนตก และในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ผมต้องการเห็นความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ทุกคน นะครับ ในการเตรียมความพร้อม นทุกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการเกิดน้ำท่วมซ้ำซากนะครับ รวมทั้งดูงานในทุกจังหวัดด้วย ตาม ภูภาคท้องถิ่นก็ต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้นะ ภาครัฐบาลจะเข้มงวดกวดขันเรื่องเหล่านี้ด้วยกัน ในช่วงที่ประชาชนเดือดร้อน
ในช่วงฝนตก การใช้รถใช้ถนน ทุกคนใช้ด้วยความระมัดระวังเพิ่มขึ้น และถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน อย่าหงุดหงิดใส่กัน รักษาสุขภาพของท่าน และคนในครอบครัวนะครับ เห็นใจเจ้าหน้าที่เขาด้วย บริษัท-ห้างร้าน ก็ขอให้ดูแลป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ให้แข็งแรง - มั่นคง หน่วยงานในท้องที่ ให้ตรวจสอบต้นไม้ สายไฟ เสาไฟขนาดใหญ่ โดยเฉพาะต้นไม้ นะครับในสวนสาธารณะและเสาไฟฟ้า ตามถนนและชุมชน ป้ายรถเมล์ อย่าให้เกิดเหตุไม่พึงประสงค์ ปล่อยให้เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วก็มาใช้วิธีการแก้ไขทีหลัง "วัวหายแล้วล้อมคอก" เหมือนเช่นทุกครั้ง ไม่มีการป้องกัน ไม่ดี จะต้องถูกลงโทษนะครับ
ขอบคุณนะครับ ขอให้ "ทุกคน" มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
ชมรายการย้อนหลังผ่านยูทูป ช่องวีดีโอ chorsaard